หน่วยระห่ำ ปลดล็อกระเบิดโลก (อังกฤษ: The Hurt Locker) เป็นภาพยนตร์แนวสงคราม-ดราม่า กำกับโดยแคทริน บิเกโลว์ เนื้อเรื่องกล่าวถึงหน่วยกู้ระเบิดในสงครามอิรักซึ่งทำหน้าที่กู้ระเบิดตามจุดที่ต้องสงสัยต่างๆ นำโดยจ่าสิบเอกวิลเลี่ยม เจมส์ หัวหน้าทีมคนใหม่มีหน้าที่ถอดชนวนระเบิด
มีนิสัยเลือดร้อนและไม่ฟังใครมักปฏิบัติภารกิจตามใจตนเอง ซึ่งงานกู้ระเบิดเป็นงานอันตรายจึงสร้างความหนักใจให้แก่ลูกทีมเป็นอย่างมาก ท่ามกลางไฟสงครามในอิรักเจมส์จึงยอมเปิดเผยตัวตนของเขาให้ลูกทีมได้รู้ ภาพยนตร์กล่าวถึงเวลาที่คนเราอยู่ในความตึงเครียดมักขาดสติในการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ
หากมองในแง่ความเป็นหนังแอ็กชั่นระทึกขวัญตื่นเต้น (เลยเถิดไปถึงสั่นประสาท) หนังก็ทําคะแนนได้ดีเลยล่ะ ฉากกู้ระเบิดสารพัดแบบ ทํางานได้อย่างทรงประสิทธิภาพมาก และถ้าจะเพ่งเล็งไปที่สาระสำคัญของหนัง มันก็อัดแน่นไปด้วยประเด็นและการตั้งคำถามให้ชวนขบคิดได้อย่างน่าสนใจ
หนังหยิบยกประเด็น “ความเสี่ยง” มาเล่นตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งความเสี่ยงที่ว่านั่น เล่าผ่านหน่วยทหารกู้ระเบิดของอเมริกาในอิรัก โดยลำพัง การเก็บกู้ระเบิดในพื้นที่สงครามกลางเมือง ก็นับว่าเสี่ยงอันตรายมากอยู่แล้ว แต่หนังก็ยังเพิ่มดีกรีความเอาล่อเอาเถิดกับความเป็นความตายมากขึ้น ด้วยการใส่ตัวละครตัวนึงที่ดูจะเสพติดความเสี่ยงเอามากๆมาใส่อยู่ในทีมกู้ระเบิด จนส่งผลทําให้คนอื่นๆในหน่วย แทบจะบ้าตายไปตามๆกันกับความบ้าบิ่นของตัวละครนี้
อีกทั้งความระห่ำของตัวละครดังกล่าว ยังกลายเป็นเหมือนผลผลิตของสงคราม เมื่อตัวละครยอมรับว่าเขารักกับงานที่ทํา เขารักกับความเสี่ยงเหล่านั้น ในตอนจบของหนัง ภาพตัวละครสวมชุดนิรภัยเดินบนถนนที่อาจจะมีระเบิดซุกซ่อนอยู่ เป็นสิ่งยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อความรุนแรงยังไม่จบสิ้น เราก็ต้องเสี่ยงกับความอันตรายนั้นต่อไป ซึ่งไม่ใช่แค่ทหารเท่านั้นที่จะต้องเสี่ยงภัย ในหลายๆครั้ง ผู้บริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากมายก็ต้องเผชิญหน้ากับความตายแทบไม่ต่างกัน (เช่นฉากบอมบ์ชุมชนของคนร้าย ทําให้ชาวบ้านร้านตลาดตายกันเบือ)
ในฉากท้ายๆเรื่อง ตัวละครทหารกู้ระเบิดสองคนได้สอบถามกันเรื่องเหตุผลของการที่พวกเขาต้องมาเสี่ยงภัยอยู่ในพื้นที่นรกเยี่ยงนี้ ซึ่งท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่สามารถตอบข้อสงสัยนั้นได้ ซีนนี้กลายเป็นดั่งจดหมายที่ส่งถึงบรรดาผู้มีอำนาจสูงสุด ว่าทําไมพวกเขาถึงต้องเอาชีวิตของตัวเองมาเดิมพันกับความตายเกือบทุกๆวัน (ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องจริงๆ มันกลายเป็นการเล่นไพ่โป๊กเกอร์กับยมฑูตทันทีที่พวกเขาสวมบทบาทเป็นรั้วของชาติแล้วต่าหาก)
แม้ว่าหนังจะไม่ได้นำเสนอรายละเอียด “คำสั่งของผู้บัญชาการ” ภาพตัวละครสวมชุดนิรภัยเดินบนถนนที่อาจจะมีระเบิดซุกซ่อนอยู่ เป็นสิ่งยืนยันให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อความรุนแรงยังไม่จบสิ้น เราก็ต้องเสี่ยงกับความอันตรายนั้นต่อไป ซึ่งไม่ใช่แค่ทหารเท่านั้นที่จะต้องเสี่ยงภัย ในหลายๆครั้ง ทว่าเราก็สามารถรู้สึกได้ถึงการตั้งคำถามกับความเป็นไปของมนุษย์ผู้เปราะบางที่สวมใส่ชุดทหาร เดินหน้าทําภารกิจที่ได้รับมอบหมาย พลางเฝ้าคอยนับเวลาถอยหลังสู่วันปลดประจำการ