รีวิว Ghost Stories (2020) เรื่องผีเรื่องวิญญาณ Netflix Original เป็นภาพยนตร์สยองขวัญจากฝีมือของ 4 ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอินเดียที่เข้าชิงรางวัลเอ็มมี่จากเรื่อง ” เรื่องรักเรื่องใคร่” ซึ่งแน่นอนว่าหากเป็นการเล่าเรื่องแบบฉบับอินเดีย หนังก็จะมีเสน่ห์บางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่พอดูแล้วก็จะรู้ว่านี่คืออินเดีย ที่นี่แม่หนังมีความยาวในแบบฉบับอินเดียคือ 2 ชั่วโมง 24 นาที หากใครชอบก็ดูแบบรวดเดียวจบได้ หากใครพอดูได้บ้างก็สามารถแบ่ง้ดูเป็นตอน ๆ ได้ เพราะหนังได้แบ่งออกเป็น 4 เรื่องย่อย จากผู้กำกับ 4 คนนั่นเอง
เปิดเรื่องมาก็น่าสนใจแล้ว ใช้ภาพการ์ตูนเป็นตัว เล่าเรื่อง Title เพื่อทำให้เห็นภาพรวมของภาพยนตร์ทั้งหมด
Zoya Akhtar (โซยา อักดาร์)
ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวที่ประกอบอาชีพเป็นคนดูแลผู้ป่วยตามบ้าน เธอได้รับการติดต่อให้ไปดูแลหญิงชราคนหนึ่งในอพาร์ทเม้นท์สุดหรูแห่งหนึ่ง หญิงชราป่วยเป็นอัมพาตครึ่งตัว ไปอัลไซเมอร์ เป็นเบาหวาน เธอต้องคอยดูแลหญิงชราคนนั้นทั้งวันและทั้งคืน หญิงชราชอบพูดเรื่องราวซ้ำไปซ้ำมา แล้วพูดถึงลูกชายของเธอ เธอบอกว่าลูกชายของเธอแอบซ่อนอยู่ในบ้าน และหญิงสาวก็รู้สึกว่าในอพาร์ตเมนต์แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเธอและหญิงชราเพียงสองเท่านั้น
หนังให้บรรยากาศชวนสงสัย ถึงแม้จะมีเส้นเรื่องที่ซ้ำซากจำเจ และหลายคนก็พอจะเดาทางได้ว่า หากมีหญิงชรานอนป่วยบนเตียง หญิงชราคนนี้ก็จะไม่เป็นเพียงแค่หญิงชราธรรมดาแน่ ๆ ในเรื่องความน่ากลัวนั้นยังถือว่าไม่มีอะไรน่าสนใจให้เราประทับใจได้มากนัก แต่ตอนจบก็นับว่าเซอร์ไพรส์ดีเหมือนกัน
6/10
Anurag Kashyap (อนุรัค กัศยป)
เรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่ง ที่พ่อได้นำไปฝากเลี้ยงกับหญิงสาวคนหนึ่ง เด็กชายคนนั้นรักหญิงสาวคนนั้นมาก และเมื่อเด็กชายรู้ว่าหญิงสาวที่เลี้ยงเขานั้น ก็รู้สึกหึงหวงเป็นพิเศษและรู้สึกว่าหญิงสาวคนนั้นจะไม่รักเขาอีกแล้ว เด็กชายจึงทำบางสิ่งบางอย่างกับหญิงสาวคนนั้น
และในอีกเส้นหนึ่งก็คือ หญิงสาวคนนั้นมีพฤติกรรมที่ตลาด มีตุ๊กตาอยู่ในบ้านจำนวนมาก เลี้ยงดูตุ๊กตาเรากับเป็นลูกของเธอ และเธอยังได้ให้อาหารลูกนกที่อยู่บนฝ้าใต้หลังคาบ้านของเธอ
นับว่าเป็นหนังที่มีเรื่องราวที่แสนจะซับซ้อนและงุนงง จะเรียกว่าเป็นหนังผีก็ไม่ได้อย่างเต็มปาก เรียกว่าเป็นหนังประหลาดก็แล้วกัน เสียงดนตรีบิ้วอารมตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้สร้างความน่ากลัวอะไรให้กับเรา เรื่องภาพอยู่อาศัยได้ เรื่องการแสดงของตัวละครหลักก็ถือว่าใช้ได้ แต่ด้วยความที่มีเรื่องราวที่เข้าใจยากจึงทำให้เรื่องนี้ดูไม่สนุก และมีความสับสนสูงมาก
Dibkar Banerjee (ดิบาการ์ บาเนอร์จี)
ว่าด้วยเรื่องราวของชายคนหนึ่ง เดินทางไปยังเมืองที่ชื่อว่า Small Town เขาพบว่าทั้งเมืองไม่มีใครอยู่เลยเป็นเมืองร้างว่างเปล่า ในค่ำคืนทั้งเมืองมืดมิด แต่แล้วก็พบกับเด็กชายคนหนึ่ง และเด็กหญิงอีกคนหนึ่ง เป็นเด็ก 2 คนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในเมืองนี้ เด็กทั้งสอง เล่าเรื่องราวให้เขาฟังว่าเมืองนี้ ถูกบางสิ่งบางอย่าง ที่มาจากเมือง Big Town กินคนทั้งเมือง วิธีการเอาตัวรอดคือต้องไม่ขยับต้องไม่พูด แล้วเขาก็รับรู้ความจริงว่าเมืองแห่งนี้เกิดสิ่งใดร้ายขึ้น เขาต้องเอาตัวรอดจากมือนี้ให้ได้
ถือเป็นตอนที่มีเสน่ห์ที่สุดตอนหนึ่งของหนังชุดนี้ หากคุณจะดูเป็นหนังผีดิบก็ได้ แต่ผมเข้าใจว่าเป็นความตั้งใจของผู้กำกับที่จะสื่อความหมายทางสัญลักษณ์มากกว่า เช่นอาจหมายถึงถึงการแพร่กระจายของวัฒนธรรม อิทธิพลบางสิ่งบางอย่างจากเมืองใหญ่สู่เมืองเล็ก การกลืนกินทางวัฒนธรรมจากเมืองที่มีอารยธรรมที่สูงส่งกว่าไปสู่เมืองที่มีอารยธรรมที่ต่ำต้อยกว่า หนังพูดถึงความ ชาญฉลาดของมนุษย์ที่มีมากกว่าสัตว์ป่า แต่ก็ย้อนแย้งให้เห็นว่า แม้มนุษย์จะมีการพัฒนาไปมากถึงเพียงใด แต่บางครั้งก็ยังมีความงมงาย และกราบไหว้บางสิ่งบางอย่างที่ต่ำต้อยกว่า หนังมีบทสรุปที่ค่อนข้างดีงามสำหรับผมเลยทีเดียว