ไลท์นิ่ง แม็คควีน(พากย์เสียงโดย โอเวน วิลสัน)รถแข่งใหม่ซิงร้อนฉ่า ที่มีความสำเร็จเป็นแรงขับเคลื่อน แต่เขาก็ได้เรียนรู้ว่า ชีวิตเป็นเรื่องของการเดินทาง ไม่ใช่เส้นชัย เมื่อเขาพบว่าตัวเองต้องวิ่งทางอ้อมตามเส้นทางรูท 66 ที่นำไปสู่เรดิเอเตอร์ สปริงส์ ระหว่างการเดินทางข้ามประเทศ ไปเพื่อเข้าแข่งขันรายการพิสตัน คัพ แชมเปียนชิพในแคลิฟอร์เนีย
เพื่อประชันความเร็วกับรถแข่งเก๋าเกมสองคัน คือ คิง(สตริป เวตเธอร์)ชิคฮิค รถแข่งที่2จอ,ขี้โกง แม็คควีนก็มีโอกาสได้รู้จักเหล่ารถน่ารักน่าเอ็นดูของเมืองนี้ซึ่งประกอบไปด้วยด็อค ฮัดสัน5(พากย์เสียงโดย พอล นิวแมน) รถฮัดสัน ฮอร์เน็ตปี1951ที่มีอดีตลึกลับ,แซลลี คาร์เรรา(พากย์เสียงโดย บอนนี ฮันท์)รถปอร์เชสุดเฉียบปี 2002และเมเทอร์(พากย์เสียงโดย แลร์รี เดอะ เคเบิล กาย)รถลากเก่าสนิมเขรอะที่ช่วยให้เขารู้ว่า ยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญยิ่งไปกว่าถ้วยรางวัลชื่อเสียงและการได้รับการสนับสนุน
อย่างแรกที่ต้องชมเลยคืองานแอนิเมชั่นครับ มันสวยมากๆ และก็น่ารักมากๆ แต่ละตัวดีไซน์มาให้มีโครงร่างที่เหมือนกัน นั่นก็คือเป็นรถ แต่ต่างกันที่จิตใจและอุปนิสัย ซึ่งผมว่า Disney เขาเก่งนะ ทำแอนิเมชั่นเรื่องไหนออกมาแต่ละเรื่องก็ได้โลดแล่นอยู่บนเวทีออสการ์กันทั้งนั้น คืองานภาพเชื่อใจพี่แกได้ครับ แต่ที่วางใจไม่ได้หน่อยก็คือการเขียนบท ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องที่ผ่านๆ มาบทไม่ดีนะครับ แต่บางเรื่องมันดันทำเราเฟลอยู่นิดหน่อย (เช่น Chicken Little ที่ผมประทับใจน้อยสุดในตอนนั้น) แต่มีกู้ศรัทธาหน่อยก็ Toy Story ที่ยังพอโอเคอยู่บ้าง
ในเรื่อง Cars นี้นั้น ผมว่าถ้ามาวัดกันตรงๆ กับหนัง Disney·Pixar ที่ผ่านมา ผมคิดว่า “Cars ยังไม่ไปไม่ถึงจุดสุดยอด”
จะพูดว่าไงดีหล่ะ มันยังไม่ถึงขั้นประทับใจขั้นสุดอ่ะครับ อย่าง Toy Story นี่ผมร้องไห้ไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ ขณะเดียวกันผมก็มีขำไปกับมันไม่น้อยเลย เรียกง่ายๆ ว่ามันสุดทุกทางอ่ะครับ ส่วนเรื่องนี้ ผมว่ามันไม่สุดยังไงไม่รู้ว่ะ มันเกือบจะ Touch เราได้แล้วล่ะแต่เหมือนกับหนังยังขาดอะไรไปซักอย่าง อ้อ! ขาด Dramatic Moments ครับ จริงๆ มันก็ฉากที่ทำเรามีน้ำตาซึมบ้างแหละ แต่มันแค่ซึมครับ ย้ำว่า “แค่ซึม” ทำให้หนังยังไปไม่ถึงจุดประทับใจสุดขีด
ผมไม่ได้หมายความว่าหนังมันแย่นะครับ เอาจริงๆ หนังเข้าขั้นสนุกมากเลยล่ะ ฉากการแข่งรถต่างๆ ถึงไม่แปลกใหม่แต่ก็ดูเพลินไม่ใช่น้อย หรือว่าฉากพวกวิวภูเขาหรือวิวชนบทอะไรเงี้ยก็ดูสวยและก็เพลินในระดับนึง แต่หนังยังไม่ขยี้ใจจนร้องไห้ฟูมฟายครับ (แค่ซึมๆ) แต่นอกจากจุดด้อยที่ว่ามา ที่เหลือของหนังจัดว่าเวิร์คเลยครับ
ผมชอบ Message ที่หนังพยายามจะสื่อมากๆ ครับ ว่าด้วยเรื่องราวของชีวิตคนๆ นึงที่มีความเร็วเป็นจุดดำเนินชีวิต มีถ้วยรางวัลและแฟนๆ เป็นของหวานประจำกาย ฉะนั้นทุกอย่างในชีวิตของเขาต้องฉับไวครับ แต่พอเขาต้องมาใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ มันก็ปรับตัวยากครับ เพราะมันไม่ใช่ทาง แต่ถ้าเราค่อยๆ ปรับตัว ไม่ต้องรีบร้อน ก็จะรู้ครับว่าชีวิตบางทีก็ไม่จำเป็นต้องรวดเร็วเสมอ ยกตัวอย่างเช่นเวลาเราทำงานส่งครู เรามักจะสปีดมากครับ ทั้งๆ ที่เราสามารถทำแบบค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปได้ จะได้มีเวลาเชเช็คได้ด้วยว่าเราผิดรึเปล่า แถมวิธีนี้ก็เห็นผลดีได้ชัดมากอีกต่างหาก แต่เราไม่ทำครับ เรากลับทำแบบรวดเร็ว ฉับไว โดยที่ไม่รู้ว่างานที่ทำมามันโอเครึยัง พอไปส่งครู ก็โดนจวดกลับมา ทั้งๆ ที่เราสปีดทำมันมาก กรณีนี้เกิดขึ้นตอนที่แมคควีนส์แข่งรถอยู่ครับ
ฉากที่ว่าก็คือช่วงที่แม็คควีนส์กำลังแข่งอยู่ แต่เนื่องจากว่าเขาเป็นคนที่ชีวิตติดเทอร์โบมาก ทำอะไรก็ต้องรวดเร็ว ตอนที่เขาเข้าไปในโซนตัวเองเขาจำเป็นต้องเปลี่ยนยางกับเติมน้ำมันครับ แต่เขาเลือกที่จะเติมน้ำมันแล้วไปแข่งต่อโดยที่ไม่เช็คความเรียบร้อยให้ดี แล้วพอเขากำลังจะเข้าเส้นชัย ยางขากลับระเบิดครับ นั่นก็เพราะความรีบโดยไม่สนใจอย่างอื่นที่เขาชอบใช้ประจำ โอกาสที่จะพลาดมีสูงครับ และถ้าผิดพลาดขึ้นมาโอกาศแก้ตัวมีน้อยนะเพราะเวลาบีบแล้ว เช่นเดียวกับแม็คควีนส์ อีกนิดเดียวเขาก็จะชนะแล้วครับถ้าไม่ประมาท สรุปแล้วเขาแก้ไขปัญหาได้ทันครับ แต่ผลที่ได้รับมันอาจจะไม่ได้ตรงกับที่เขาเลงไว้ตอนต้น เพราะเขาเข้าเส้นชัยพร้อมกับรถอีกสองคน
ฉากนี้ฉากเดียวทำให้ผมตระหนักได้เลยครับ ว่าเราไม่จำเป็นต้องรวดเร็วอะไรให้มากนักหรอก หัดใช้ชีวิตให้มันพอดีดีกว่าครับ ไม่ต้องสปีดมากแต่ก็ไม่ได้ช้าเกินไป แต่ฉากที่ทำให้ผมประทับมากก็คือ “ฉากจบ” ครับ
แม็คควีนส์กำลังจะได้เป็นแชมป์แล้วครับ อีกแค่นิดเดียวเขาก็จะได้คว้าถ้วยรางวัลที่เขาไฝ่ฝันจะได้มานานแล้ว แต่ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเมื่อเดอะคิงส์เกิดรถคว่ำเพราะถูกฮิคส์เบียดจนเสียหลัก เขาหยุดรถที่เส้นชัยและก็ปล่อยให้ฮิคส์เข้าเส้นชัยไป แล้วก็กลับรถเข้าไปในสนามเพื่อช่วยคิงส์ แต่คิงส์ก็บอกให้เขากลับเข้าวินไป แต่เขาเห็นคุณค่าของน้ำใจนักกีฬามากกว่าถ้วยเปล่าๆ ถ้วยเดียว เพราะถึงชนะแต่ปล่อยให้เพื่อนร่วมแข่งอนาคตดับถาวร เขาก็จะมองถ้วยรางวัลเป็นเหมือนเครื่องย้ำความผิดพลาดที่เขาทำไปหรือมองว่ามันเป็นปืนที่ใช้ปลิดอนาคตของคนๆ หนึ่ง นั่นคือสาเหตุที่เขาเลือกที่จะช่วยคงอนาคตเพื่อนร่วมแข่งไว้และก็สู้ต่อไป นี่คือน้ำใจนักกีฬาครับ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ชนะ “การแข่งขัน” แต่เขาก็ชนะ “ใจ” ทุกคนที่อยู่ในสนามแข่งแห่งนั้น
หนังอาจจะไม่ได้เยี่ยมยอดหรือดีเลิศเท่าหนังเรื่องอื่นๆ ของ Disney·Pixar แต่มันก็ยังคงเป็นหนังดีอีกเรื่องที่คู่ควรกับการดูและคู่ควรสำหรับคำยกย่องครับ เรื่องนี้แนะนำสุดใจ