What's happening?

Video Sources 410 Views Report Error

  • Wild Card (2015) มือฆ่าเอโพดำ
Wild Card (2015) มือฆ่าเอโพดำ

Wild Card (2015) มือฆ่าเอโพดำ

Your rating: 0
5 1 vote

Synopsis

Wild Card ไม่ใช่หนังแอ็กชันแบบที่หลายๆ คนคิดครับ คือฉากแอ็กชันต่อยตีมันก็มีครับ แต่หนังไม่เน้นในจุดนั้นสักเท่าไร ส่วนมากจะเล่าไปในทางดราม่ามากกว่า

เรื่องราวของนิค ไวลด์ (Jason Statham) บอดี้การ์ดระดับพระกาฬที่ต้องเจอกับวันดวงแตก เจองานเข้าหลายงานพร้อมกัน ตั้งแต่รับงานเป็นบอดี้การ์ดให้นักพนันหน้าละอ่อน (Michael Angarano), ช่วยเพื่อน (Dominik García-Lorido) เอาคืนมาเฟียตัวร้าย (Milo Ventimiglia) ไหนจะต้องรับมือกับความโลภที่เกิดในใจเขาเสมอ ยามที่เขาเป็นฝ่ายเล่นไพ่ชนะ

จริงๆ หนังสามารถตามรอยเท้าหนังบู๊ดีๆ เมื่อปีกลายอย่าง John Wick และ The Equalizer ได้ เพราะพล็อตก็ว่าด้วยตัวเอกเทพๆ ที่ต้องเจอกับผู้ร้ายระดับเจ้าพ่อ และตัวนิคเองก็มีฝีมือเจ๋ง สามารถใช้สรรพสิ่งรอบตัวเป็นอาวุธสังหาร ตั้งแต่บัตรเครดิตยันช้อนกินข้าว

แต่หนังเลือกจะเดินเรื่องแบบเน้นดราม่า ซึ่งดราม่าที่ว่าก็ไม่ถึงกับจับใจนัก เหมือนเล่าไปเรื่อยๆ ไม่ได้เร้าหรือทำให้เราอินอะไรมากมาย (‘หมาตาย” ของนาย John Wick ยังทำให้เราอินได้มากกว่า) เลยทำให้หนังมีความอืดช้าในหลายช่วง ทั้งที่ประเด็นที่จับมาถือว่าน่าสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องความโลภบนโต๊ะพนันของนิค (ที่เชื่อว่าหลายคนก็คงเป็น หากไปเล่นแล้วเป็นฝ่ายได้ล่ะก็ เราจะอยากเล่นอีก ถ้าเล่นเสียเราก็อยากเอาคืน สุดท้ายเจ้ามือก็กินเรียบ) หรืออารมณ์อยากผจญภัยของไซรัส (Angarano) ที่เขาประสบความสำเร็จมาจากโลกธุรกิจ เลยอยากมาผาดโผนในโลกการพนันบ้าง โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า 2 โลกนี้มันมีจุดที่ต่างกันอยู่มาก (แม้จะเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ เหมือนกันก็เถอะ)

จุดน่าสนใจของหนังก็คงอยู่ที่การใช้สรรพวัตถุรอบตัวของนิคในการซัดผู้ร้าย มันก็เท่ห์ดีครับ แต่ฉากพวกนี้มีไม่มากเท่าไร และถ้าเทียบกับความเท่ห์ลื่นของฉากบู๊ในหนัง 2 เรื่องที่ผมพูดถึงแล้ว ความเร้าใจตื่นตามันยังไม่ขนาดนั้น

ผมพอเข้าใจอยู่เหมือนกันนะครับว่าทำไมหนังถึงเน้นดราม่า เพราะบทหนังน่ะเขียนโดย William Goldman มือเขียนบทระดับออสการ์จาก All the President’s Men และ Butch Cassidy and the Sundance Kid ไหนจะบทหนังเยี่ยมเรื่องอื่นๆ อย่าง Marathon Man, A Bridge Too Far และ Miseryและนี่นับเป็นงานเขียนบทเรื่องแรกในรอบ 11 ปีของเขา (เรื่องล่าสุดที่เขียนคือ Dreamcatcher ที่ดัดแปลงจากงานของ Stephen King) ซึ่งบทหนังเรื่องนี้ก็ดัดแปลงรีเมคมาจากหนังเรื่อง Heat (คนละเรื่องกับ Heat ของ Michael Mann นะครับ อันนี้คือ Heat ปี 1986 ที่ Burt Reynolds นำแสดง) ซึ่งจะว่าไปเรื่องนั้นก็ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับน่าจดจำ และถ้าให้เทียบกันแล้ว ผมว่าบทอันใหม่ที่ถูกนำมาเกลาจนเป็นหนังเรื่อง Wild Card นี้ก็ดูจะมีจุดน่าสนใจมากกว่า

หนังกำกับโดย Simon West (Con Air และ The Expendables 2) ซึ่งกับผลงานเรื่องนี้ อาจเพราะปริมาณเนื้อความในส่วนดราม่ามันค่อนข้างเยอะ ผลที่ได้ก็เลยอาจยังไม่ลงตัวเต็มที่ แอ็กชันพอไหว แต่ด้านเนื้อหาที่ดูจะน่าสนใจ ก็ยังเดินเรื่องได้ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร

น่าเสียดายเหมือนกันครับ กล่าวกันว่าหนังเรื่องนี้ Statham และ West ช่วยกันปั้นถึง 5 ปี แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่เข้าเป้านัก

อันที่จริงมีอยู่ช่วงหนึ่ง เขาจะให้ Brian De Palma (Mission: Impossible) มากำกับ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าพี่ท่านได้มากำกับจริงๆ หนังจะออกมาเป็นแบบไหน

 

เอาเป็นว่าถ้าชอบเฮีย Jason ก็ตามไปดูได้ครับ เขายังเท่ห์อยู่ และจริงๆ ก็มีฉากเข้าท่าๆ อยู่หลายอัน เช่น ฉากที่พี่แกเคลียร์ตัวเองตอนโดนเจ้าพ่อตัวร้ายหาเรื่องใส่ความ เพียงแต่ก่อนรับชมอย่าคาดหวังมากนักก็แล้วกันครับ

Director

Director

Cast

Similar titles

Gaia (2021) ป่า
Rebecca (2020) รีเบคกา
Toy Story 1 (1995) ทอย สตอรี่ 1
Baywatch (2017) ไลฟ์การ์ดฮอตพิทักษ์หาด
A Fall from Grace (2020) ความรักบังตา ฆาตกรรมไร้ศพ
Doctor (2013) แรง แค้น แผน ฆ่า
Constantine (2005) คอนสแตนติน คนพิฆาตผี
His House (2020) บ้านของใคร
The Gift (2015) ของขวัญวันตาย
Detective Di Renjie (2020) พลิกแฟ้มคดีของตี๋เหรินเจี๋ย
Black Site Delta (2017) แบล็ก ไซต์ เดลต้า
Batman Soul of the Dragon (2021) แบทแมน วิญญาณแห่งมังกร