What's happening?

Video Sources 1499 Views Report Error

  • The Town (2010) ปิดเมืองปล้นระห่ำเดือด
The Town (2010) ปิดเมืองปล้นระห่ำเดือด

The Town (2010) ปิดเมืองปล้นระห่ำเดือด

Your rating: 0
7 1 vote

Synopsis

ในยุคที่เรากำลังหาหนังปล้น (heist films) ดี ๆ ดูได้ยากเหลือเกิน ดีในที่นี้หมายถึง แผนการปล้นน่าเชื่อถือ หนังไม่โม้จนเกินไป ถ้าเป็นหนังอาชญากรรมยุคใหม่ก็ต้องบอกว่ามันมีส่วนผสมของดราม่าที่ลงตัว (ช่วงยุค 70 ออกแนวเป็นทริลเลอร์ลุ้นระทึกไม่สนใจดราม่าตัวละครสักเท่าไร) การถือกำเนิดของ The Town จึงนับว่าเป็นการมาถูกที่ถูกเวลา

ย้อนไปถึงหนังปล้นดัง ๆ คลาสสิกตั้งแต่อดีต
Rififi – เป็นหนังอาชญากรรมปล้นร้านเพชรเรื่องแรก ๆ เลยมั้งครับที่ให้ความสำคัญกับตัวละคร นอกจากฉากปล้นสุดคลาสสิกแล้วยังมีการต่อยอดเล่นกับจิตใจมนุษย์ด้วยครับ
The Killing – หนังปล้นสนามม้าของ ‘สแตนลี่ย์ คูบริค’ ส่วนผสมของแผนการปล้นที่น่าเชื่อถือและการกำกับให้คนดูลุ้นชนิดหายใจไม่ทั่วท้องตลอดเวลา!
Dog Day Afternoon – เหตุการณ์จริงของการปล้นธนาคารธรรมดา ๆ ที่กลายเป็นหนังสะท้อนปัญหาอเมริกายุคนั้น
Inside Man – อีกหนึ่งหนังปล้นธนาคารล้ำ ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขายฉากแอ็คชั่น

และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Heat ที่อาจจะเรียกว่าเป็นต้นแบบของ The Town ก็ว่าได้

The Town เล่าเรื่องของ ‘ดั๊ก’ (Ben Affleck) หนึ่งในโจรปล้นธนาคารที่เกิดตกหลุมรัก ‘แคลร์’ ผู้จัดการธนาคารที่เขาเคยจับเป็นตัวประกัน และความรักครั้งนี้ก็ทำให้เขาอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากออกจากเมืองไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง โดยที่มีเขาต้องทิ้งชนักติดหลังทั้งหมด ตั้งแต่ ‘เจมส์’ (Jeremy Renner) เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของเขา และยังเคยติดคุก 9 ปีจากการฆ่าคนที่จะมาทำร้ายเขาอีกด้วย, ‘คริส’ (Blake Lively) น้องสาวของเจมส์ อดีตคนรักของเขาที่มีลูกติดโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก, ไหนจะ ‘สตีเฟน’ (Chris Cooper) พ่อของเขาที่ติดคุกอยู่ในเมืองนี้อีก จนเมื่อเขาพร้อมหันหลังให้เมืองนี้ ‘เฟอร์กี้’ (Pete Postlethwaite) ก็มาพร้อมคำขู่ถึงแฟนสาวเขา เพื่อต้องการให้เขารับงานใหญ่ชิ้นสุดท้าย

เราจะเห็นว่าโครงเรื่องการปล้นธนาคารและต้องการวางมือมันเหมือนกับ Heat ครับ ดำเนินเรื่องด้วยการเปิดหนังด้วยฉากปล้นธนาคารเหมือนกัน จบหนังด้วยฉากปล้นครั้งใหญ่เหมือนกัน (ตัวเอกรอดไปได้เหมือนกันด้วยเนี่ยสิ) ไหนจะต้องดวลฝีปากทันเกมกับ FBI ที่แอบสะกดรอยตามเหมือนกัน (แต่ Heat เด็ดกว่าเยอะ) ที่เหมือนกันอีกก็คือต้องการวางมือหลังจากเจอผู้หญิงที่หลงรัก และยังไม่รวมฉากส่งซิกที่ช่างละม้ายคล้ายกันเสียเหลือเกิน ฮ่าๆๆ

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า The Town แค่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Heat ซึ่งเป็นเรื่องปกติของโลกภาพยนตร์ที่ต้องหยิบยืมงานศิลปะเก่า ๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพราะถ้ามองกันตามตรงแล้วก็ต้องบอกว่า Heat สร้างโครงเรื่องดราม่าของตัวเองได้น่าสนใจทีเดียว

เมื่อดูปมที่มาของ ‘ดั๊ก’ เด็กคนหนึ่งที่โตมาในย่านที่การปล้นธนาคารถูกมองว่าเป็น ‘ไอดอล’ เด็ก ๆ ใฝ่ฝันจะรวยทางลัดแบบนี้กัน แม่ก็หนีหายไป พ่อก็ติดคุก ช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อมีโอกาสได้ดีจากการเป็นนักกีฬาฮ็อกกี้ก็โยนมันทิ้งไป ชีวิตเขาไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกชักชวนให้เข้าสู่วงการอาชญากรรมได้โดยง่าย จนกระทั่งเขาได้เจอ ‘แคลร์’ ที่กลายมาเป็นที่พักใจของเขา เป็นคนที่เขาไว้ใจจะเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง ต้องขอชมวิธีการเล่าเรื่องปมตัวละคร ‘ดั๊ก’ ด้วยการค่อย ๆ ปอกเปลือกออกมาทีละขั้น ๆ จากการพูดคุยกับ ‘แคลร์’ ในแต่ละครั้ง นับเป็นชั้นเชิงของหนังที่ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ

พูดถึงความเป็นหนัง neo-noir สักหน่อย จริง ๆ ฟิล์มนัวร์นี่เป็นประเภทหนังที่จัดยากเหมือนกันแฮะ ถ้าว่ากันตามธีมเรื่องหมิ่นเหม่ศีลธรรม ทำให้คนดูต้องเอาใจช่วยคนทำผิดและมีผู้หญิงเป็นแรงจูงใจ ผมก็นับว่า The Town มันก็จัดเป็นนัวร์สมัยใหม่ได้อยู่ครับ

ความเป็นนีโอ-นัวร์ หรือนัวร์สมัยใหม่คือการที่หนังสร้างตัวละคร ‘ดั๊ก’ ในรูปแบบ ‘good bad guy’ เราเห็นภาพว่าเขาคือ ‘โจรปล้นธนาคาร’ แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมากนัก เพราะเขาต้องการเพียงเงิน ไม่ได้ต้องการทำร้ายร่างกายใคร นิสัยส่วนตัวก็ดูเป็นคนน่าคบหา แล้วยิ่งเมื่อเขาเล่าเรื่องในอดีตให้ ‘แคลร์’ ฟัง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจ สภาพแวดล้อมบีบให้เขาไม่มีทางเลือกมากนัก การโตมาโดยไม่มีเสาหลักเป็นที่พึ่ง และการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตอาชีพกีฬาที่ผิดพลาดทำให้เขาเหลือทางเลือกไม่มาก ดังนั้นเมื่อเขาแสดงออกว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ คนดูอย่างเราจึงรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครนี้ให้ทำสำเร็จ

นอกจากนี้หนังยังเล่นประเด็นที่เกี่ยวกับชนักติดหลัง ‘ดั๊ก’ ที่หมิ่นเหม่ต่อการตัดสินคน ๆ หนึ่งว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว เพราะการที่เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้น เขาต้องทิ้ง 3 อย่างพร้อม ๆ กันคือ
1. ‘เจมส์’ เขาไม่ได้จะตัดขาดอะไรจากเพื่อนรักที่ดีที่สุดของเขา เพียงแต่เมื่อเพื่อนของเขาอยากให้เขารับงานครั้งสุดท้ายที่มีความเสี่ยง เขายังห่วงเพื่อนเสมอ แต่หนังมาร้ายกาจในฉากสุดท้าย เมื่อเจมส์ที่ครั้งหนึ่งเคยลงมือฆ่าคนที่จะมาทำร้ายดั๊ก จนตัวเองต้องติดคุก 9 ปี กับฉากที่ ‘ดั๊ก’ ได้แต่นิ่งเฉยยืนมองเพื่อนถูกตำรวจไล่ตามจับกุม

2. ‘คริสและลูกไม่มีพ่อ’ หนังพูดถึงตัวละครนี้ค่อนข้างน้อย นอกจากให้คนดูรับรู้แค่ว่าเธอเป็นแฟนเก่าของดั๊ก (พร้อมกับเป็นแฟนคนอื่นอีกหลายคนในเวลาเดียวกัน) แต่เมื่อถึงจุดที่คริสต้องการจะไปจากเมืองด้วย คำตอบของเขากลับเป็น ‘ปฏิเสธ’

3. ‘สตีเฟน’ พ่อแท้ ๆ ที่อยู่ในคุก โอเคว่าตัวละครนี้อาจไม่ใช่ชนักติดหลังที่ร้ายแรงสักเท่าไร แต่การจะไปต่างเมืองย่อมทำให้เขาไม่มีโอกาสเจอพ่อได้ง่าย ๆ เหมือนเดิมแล้ว

และนี่คือ ‘good bad guy’ ที่เรากำลังลุ้นให้เขาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้สำเร็จ

บทหนังในสายตาผมเรียกว่าอยู่ในเกณฑ์ ‘ดี’ และมีธีมฟิล์มนัวร์อาชญากรรมดราม่าที่เรียกว่า ‘แข็งแรงมาก’ อันเกิดจากการที่หนังโฟกัสไปที่ตัวละครเอกเป็นหลัก ซึ่งผลข้างเคียงที่ตามมาก็คือตัวละครรองบางตัวไม่ได้รับการสนใจอย่างที่ควร หนังยังมีจุดที่ใช้ความบังเอิญเข้าช่วย เช่นอุบัติเหตุของคริสก่อนฉากปล้นครั้งสุดท้ายที่ทำให้ตำรวจรู้ว่าพวกของดั๊กกำลังจะไปปล้นสนามเบสบอล รวมถึงฉากช่วงท้ายที่ดูจะง่ายเกินไปสักหน่อย

หนังมาพร้อมฉากปล้น 3 ฉากเด็ดที่น่าจดจำ
• เริ่มจากฉากปล้นธนาคารอย่างรวดเร็วตั้งแต่เปิดตัวหนัง ซึ่งทำให้เห็นว่าวิธีการของโจรกลุ่มนี้คือมืออาชีพจริง ๆ
• ตามด้วยฉากปล้นรถขนเงินอย่างรวดเร็วอีกเช่นเคย + car chase เล็ก ๆ เพิ่มความน่าตื่นเต้น และปิดท้ายด้วยฉากตลกร้ายที่ตำรวจเบือนหน้าหนีแก๊งโจรที่กำลังขนเงินออกจากรถ!
• ไคลแม็กซ์ของหนังอยู่ที่ฉากปล้นสนามเบสบอลเนี่ยแหละครับ แผนการปล้นที่แอบคิดถึง The Killing ปี 1956 (สนามม้า vs. สนามเบสบอล) ผสมฉากดวลปืนที่ดูแล้วคิดถึง Heat (แต่ Heat ทำออกมาเทพกว่ากันเยอะ) คิดถึงในแง่ที่ว่ามันเป็นฉากดวลปืนที่สมจริง เสียงปืนประกอบสมจริง ยิ่งพวกหูฟังลำโพง 5.1 นี่อิ่มเลยครับ

หลังจาก ‘เบน แอฟเฟล็ก’ พิสูจน์ความสามารถในการทำงานเบื้องหลังของตัวเองใน Gone Baby Gone ผลงานกำกับหนังเรื่องแรกว่าด้วยธีมหนังฟิล์มนัวร์สีเทาที่พร้อมขยี้จิตใจคนดู เขาใช้เวลาอีก 3 ปีเพื่อส่งตรงพิสูจน์กับคนทั้งโลกว่าความสำเร็จในแง่คำวิจารณ์จากการกำกับหนังเรื่องแรกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะฝีมือของเขา!! และรอบนี้เขาเปลี่ยนจากหนังฟิล์มนัวร์สืบสวนมาทำหนังแอ็คชั่นอาชญากรรมซะด้วย!

ไหนจะการโชว์ลูกไม้รายละเอียดเล็กๆสอดแทรกภาพสัญลักษณ์ในหนังของเขา เช่นฉากตำรวจเบือนหน้าหนีฉากที่แก๊งโจรเพิ่งจะคุมหน้าด้วยหน้ากากแม่ชีแล้วมองออกไปนอกรถมีเด็กน้อยคนหนึ่งมองมายังแก๊งปล้นธนาคารซึ่งไปสอดรับกับการเล่าเรื่องวัยเด็กของดั๊กการตัดต่อสภาพจิตใจของแคลร์หลังจากโดนปล่อยตัวให้เดินลงน้ำก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งลูกไม้เล็กๆที่เขาทำออกมาได้ดีและไม่ต้องพูดถึงการคุมสเกลฉากปล้นแต่ละฉากที่ยอดเยี่ยมมาก!

พูดถึงการแสดงกันบ้างเจเรมี่ เรนเนอร์คู่ควรกับรางวัลรองชนะเลิศออสการ์การแสดงสมทบฝ่ายชายปีนั้นมากๆครับ(รางวัลชนะเลิศปีนั้นต้องยอมให้เบลจาก The Fighter จริงๆ)เฮียเรนเนอร์แกแสดงได้กุ๊ยมาก ซาถุน ถ่อย ทราม คาดเดาได้ยาก แต่ดูเป็นมิตรรักพวกพ้อง แสดงดีจริง ๆ ครับ เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่ผมชอบด้วย เลือกรับงานช่วงหลังมานี้น่าสนใจดีครับ

ในขณะที่คนที่คู่ควรแก่การยกย่องมากที่สุดผมขอมอบให้เบนแอฟเฟล็กนักแสดงนำของเรื่องครับเขาคือผู้เสียสละอย่างแท้จริงแม้เขาจะเป็นตัวเดินเรื่องบทหนังพูดถึงตัวละครของเขาแต่เขาพร้อมจะทำตัวไม่เด่นกลืนไปกับฉากปล่อยให้นักแสดงร่วมฉากได้แสดงกันเต็มที่บทสมทบแค่ไหนถ้าได้ออกจอร่วมกับเฮียเบนนี่เด่นกันทุกคนเรนเนอร์เอย,รีเบคคาฮอลล์เอย,คริสคูเปอร์เอย,พีตพอเซิลธ์เวตเอย,แม้กระทั่งเบลคไลฟ์ลีเด่นกว่าแกหมดเลยครับ

ย้ำอีกครั้งว่าอยากเห็นเฮียเบนเลิกเล่นหนัง(ของคนอื่น)แล้วมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวสักที!!แล้วจะเล่นหนังของตัวเองบทไหนก็แล้วแต่เฮียเลยครับ!!

Original title The Town (2010) ปิดเมืองปล้นระห่ำเดือด

Director

Director

Cast

Similar titles

Going in Style (2017) สามเก๋าปล้นเขย่าเมือง
Wild Card (2015) มือฆ่าเอโพดำ
Gaia (2021) ป่า
Thir13en Ghosts (2001) คืนชีพ 13 วิญญาณสยอง
Little (2019) ลิทเติ้ล
The Call (2013) เดอะคอลล์ ต่อสายฝ่าเส้นตาย
The Mission (1986) เดอะมิชชั่น นักรบนักบุญ
An American Pickle (2020) คนจริงเขาดองกัน
Killers (2010) เทพบุตรหรือนักฆ่า บอกมาซะดีดี
Ghost in the Shell (2017) โกสต์ อิน เดอะ เชลล์
The Marine 3 (2013) เดอะ มารีน คนคลั่งล่าทะลุสุดขีดนรก ภาค 3
Primal (2020) โคตรคนมหากาฬ