ในยุคที่เรากำลังหาหนังปล้น (heist films) ดี ๆ ดูได้ยากเหลือเกิน ดีในที่นี้หมายถึง แผนการปล้นน่าเชื่อถือ หนังไม่โม้จนเกินไป ถ้าเป็นหนังอาชญากรรมยุคใหม่ก็ต้องบอกว่ามันมีส่วนผสมของดราม่าที่ลงตัว (ช่วงยุค 70 ออกแนวเป็นทริลเลอร์ลุ้นระทึกไม่สนใจดราม่าตัวละครสักเท่าไร) การถือกำเนิดของ The Town จึงนับว่าเป็นการมาถูกที่ถูกเวลา
ย้อนไปถึงหนังปล้นดัง ๆ คลาสสิกตั้งแต่อดีต
Rififi – เป็นหนังอาชญากรรมปล้นร้านเพชรเรื่องแรก ๆ เลยมั้งครับที่ให้ความสำคัญกับตัวละคร นอกจากฉากปล้นสุดคลาสสิกแล้วยังมีการต่อยอดเล่นกับจิตใจมนุษย์ด้วยครับ
The Killing – หนังปล้นสนามม้าของ ‘สแตนลี่ย์ คูบริค’ ส่วนผสมของแผนการปล้นที่น่าเชื่อถือและการกำกับให้คนดูลุ้นชนิดหายใจไม่ทั่วท้องตลอดเวลา!
Dog Day Afternoon – เหตุการณ์จริงของการปล้นธนาคารธรรมดา ๆ ที่กลายเป็นหนังสะท้อนปัญหาอเมริกายุคนั้น
Inside Man – อีกหนึ่งหนังปล้นธนาคารล้ำ ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขายฉากแอ็คชั่น
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ Heat ที่อาจจะเรียกว่าเป็นต้นแบบของ The Town ก็ว่าได้
The Town เล่าเรื่องของ ‘ดั๊ก’ (Ben Affleck) หนึ่งในโจรปล้นธนาคารที่เกิดตกหลุมรัก ‘แคลร์’ ผู้จัดการธนาคารที่เขาเคยจับเป็นตัวประกัน และความรักครั้งนี้ก็ทำให้เขาอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากออกจากเมืองไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่ง โดยที่มีเขาต้องทิ้งชนักติดหลังทั้งหมด ตั้งแต่ ‘เจมส์’ (Jeremy Renner) เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กของเขา และยังเคยติดคุก 9 ปีจากการฆ่าคนที่จะมาทำร้ายเขาอีกด้วย, ‘คริส’ (Blake Lively) น้องสาวของเจมส์ อดีตคนรักของเขาที่มีลูกติดโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก, ไหนจะ ‘สตีเฟน’ (Chris Cooper) พ่อของเขาที่ติดคุกอยู่ในเมืองนี้อีก จนเมื่อเขาพร้อมหันหลังให้เมืองนี้ ‘เฟอร์กี้’ (Pete Postlethwaite) ก็มาพร้อมคำขู่ถึงแฟนสาวเขา เพื่อต้องการให้เขารับงานใหญ่ชิ้นสุดท้าย
เราจะเห็นว่าโครงเรื่องการปล้นธนาคารและต้องการวางมือมันเหมือนกับ Heat ครับ ดำเนินเรื่องด้วยการเปิดหนังด้วยฉากปล้นธนาคารเหมือนกัน จบหนังด้วยฉากปล้นครั้งใหญ่เหมือนกัน (ตัวเอกรอดไปได้เหมือนกันด้วยเนี่ยสิ) ไหนจะต้องดวลฝีปากทันเกมกับ FBI ที่แอบสะกดรอยตามเหมือนกัน (แต่ Heat เด็ดกว่าเยอะ) ที่เหมือนกันอีกก็คือต้องการวางมือหลังจากเจอผู้หญิงที่หลงรัก และยังไม่รวมฉากส่งซิกที่ช่างละม้ายคล้ายกันเสียเหลือเกิน ฮ่าๆๆ
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า The Town แค่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Heat ซึ่งเป็นเรื่องปกติของโลกภาพยนตร์ที่ต้องหยิบยืมงานศิลปะเก่า ๆ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพราะถ้ามองกันตามตรงแล้วก็ต้องบอกว่า Heat สร้างโครงเรื่องดราม่าของตัวเองได้น่าสนใจทีเดียว
เมื่อดูปมที่มาของ ‘ดั๊ก’ เด็กคนหนึ่งที่โตมาในย่านที่การปล้นธนาคารถูกมองว่าเป็น ‘ไอดอล’ เด็ก ๆ ใฝ่ฝันจะรวยทางลัดแบบนี้กัน แม่ก็หนีหายไป พ่อก็ติดคุก ช่วงวัยรุ่นหัวเลี้ยวหัวต่อมีโอกาสได้ดีจากการเป็นนักกีฬาฮ็อกกี้ก็โยนมันทิ้งไป ชีวิตเขาไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยว จึงไม่แปลกที่เขาจะถูกชักชวนให้เข้าสู่วงการอาชญากรรมได้โดยง่าย จนกระทั่งเขาได้เจอ ‘แคลร์’ ที่กลายมาเป็นที่พักใจของเขา เป็นคนที่เขาไว้ใจจะเล่าเรื่องครอบครัวให้ฟัง ต้องขอชมวิธีการเล่าเรื่องปมตัวละคร ‘ดั๊ก’ ด้วยการค่อย ๆ ปอกเปลือกออกมาทีละขั้น ๆ จากการพูดคุยกับ ‘แคลร์’ ในแต่ละครั้ง นับเป็นชั้นเชิงของหนังที่ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ
พูดถึงความเป็นหนัง neo-noir สักหน่อย จริง ๆ ฟิล์มนัวร์นี่เป็นประเภทหนังที่จัดยากเหมือนกันแฮะ ถ้าว่ากันตามธีมเรื่องหมิ่นเหม่ศีลธรรม ทำให้คนดูต้องเอาใจช่วยคนทำผิดและมีผู้หญิงเป็นแรงจูงใจ ผมก็นับว่า The Town มันก็จัดเป็นนัวร์สมัยใหม่ได้อยู่ครับ
ความเป็นนีโอ-นัวร์ หรือนัวร์สมัยใหม่คือการที่หนังสร้างตัวละคร ‘ดั๊ก’ ในรูปแบบ ‘good bad guy’ เราเห็นภาพว่าเขาคือ ‘โจรปล้นธนาคาร’ แต่ขณะเดียวกันเราก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรมากนัก เพราะเขาต้องการเพียงเงิน ไม่ได้ต้องการทำร้ายร่างกายใคร นิสัยส่วนตัวก็ดูเป็นคนน่าคบหา แล้วยิ่งเมื่อเขาเล่าเรื่องในอดีตให้ ‘แคลร์’ ฟัง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นตัวละครที่น่าเห็นใจ สภาพแวดล้อมบีบให้เขาไม่มีทางเลือกมากนัก การโตมาโดยไม่มีเสาหลักเป็นที่พึ่ง และการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตอาชีพกีฬาที่ผิดพลาดทำให้เขาเหลือทางเลือกไม่มาก ดังนั้นเมื่อเขาแสดงออกว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ คนดูอย่างเราจึงรู้สึกเอาใจช่วยตัวละครนี้ให้ทำสำเร็จ
นอกจากนี้หนังยังเล่นประเด็นที่เกี่ยวกับชนักติดหลัง ‘ดั๊ก’ ที่หมิ่นเหม่ต่อการตัดสินคน ๆ หนึ่งว่าเป็นคนดีหรือคนชั่ว เพราะการที่เขาจะเริ่มต้นชีวิตใหม่นั้น เขาต้องทิ้ง 3 อย่างพร้อม ๆ กันคือ
1. ‘เจมส์’ เขาไม่ได้จะตัดขาดอะไรจากเพื่อนรักที่ดีที่สุดของเขา เพียงแต่เมื่อเพื่อนของเขาอยากให้เขารับงานครั้งสุดท้ายที่มีความเสี่ยง เขายังห่วงเพื่อนเสมอ แต่หนังมาร้ายกาจในฉากสุดท้าย เมื่อเจมส์ที่ครั้งหนึ่งเคยลงมือฆ่าคนที่จะมาทำร้ายดั๊ก จนตัวเองต้องติดคุก 9 ปี กับฉากที่ ‘ดั๊ก’ ได้แต่นิ่งเฉยยืนมองเพื่อนถูกตำรวจไล่ตามจับกุม
2. ‘คริสและลูกไม่มีพ่อ’ หนังพูดถึงตัวละครนี้ค่อนข้างน้อย นอกจากให้คนดูรับรู้แค่ว่าเธอเป็นแฟนเก่าของดั๊ก (พร้อมกับเป็นแฟนคนอื่นอีกหลายคนในเวลาเดียวกัน) แต่เมื่อถึงจุดที่คริสต้องการจะไปจากเมืองด้วย คำตอบของเขากลับเป็น ‘ปฏิเสธ’
3. ‘สตีเฟน’ พ่อแท้ ๆ ที่อยู่ในคุก โอเคว่าตัวละครนี้อาจไม่ใช่ชนักติดหลังที่ร้ายแรงสักเท่าไร แต่การจะไปต่างเมืองย่อมทำให้เขาไม่มีโอกาสเจอพ่อได้ง่าย ๆ เหมือนเดิมแล้ว
และนี่คือ ‘good bad guy’ ที่เรากำลังลุ้นให้เขาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้สำเร็จ
บทหนังในสายตาผมเรียกว่าอยู่ในเกณฑ์ ‘ดี’ และมีธีมฟิล์มนัวร์อาชญากรรมดราม่าที่เรียกว่า ‘แข็งแรงมาก’ อันเกิดจากการที่หนังโฟกัสไปที่ตัวละครเอกเป็นหลัก ซึ่งผลข้างเคียงที่ตามมาก็คือตัวละครรองบางตัวไม่ได้รับการสนใจอย่างที่ควร หนังยังมีจุดที่ใช้ความบังเอิญเข้าช่วย เช่นอุบัติเหตุของคริสก่อนฉากปล้นครั้งสุดท้ายที่ทำให้ตำรวจรู้ว่าพวกของดั๊กกำลังจะไปปล้นสนามเบสบอล รวมถึงฉากช่วงท้ายที่ดูจะง่ายเกินไปสักหน่อย
หนังมาพร้อมฉากปล้น 3 ฉากเด็ดที่น่าจดจำ
• เริ่มจากฉากปล้นธนาคารอย่างรวดเร็วตั้งแต่เปิดตัวหนัง ซึ่งทำให้เห็นว่าวิธีการของโจรกลุ่มนี้คือมืออาชีพจริง ๆ
• ตามด้วยฉากปล้นรถขนเงินอย่างรวดเร็วอีกเช่นเคย + car chase เล็ก ๆ เพิ่มความน่าตื่นเต้น และปิดท้ายด้วยฉากตลกร้ายที่ตำรวจเบือนหน้าหนีแก๊งโจรที่กำลังขนเงินออกจากรถ!
• ไคลแม็กซ์ของหนังอยู่ที่ฉากปล้นสนามเบสบอลเนี่ยแหละครับ แผนการปล้นที่แอบคิดถึง The Killing ปี 1956 (สนามม้า vs. สนามเบสบอล) ผสมฉากดวลปืนที่ดูแล้วคิดถึง Heat (แต่ Heat ทำออกมาเทพกว่ากันเยอะ) คิดถึงในแง่ที่ว่ามันเป็นฉากดวลปืนที่สมจริง เสียงปืนประกอบสมจริง ยิ่งพวกหูฟังลำโพง 5.1 นี่อิ่มเลยครับ
หลังจาก ‘เบน แอฟเฟล็ก’ พิสูจน์ความสามารถในการทำงานเบื้องหลังของตัวเองใน Gone Baby Gone ผลงานกำกับหนังเรื่องแรกว่าด้วยธีมหนังฟิล์มนัวร์สีเทาที่พร้อมขยี้จิตใจคนดู เขาใช้เวลาอีก 3 ปีเพื่อส่งตรงพิสูจน์กับคนทั้งโลกว่าความสำเร็จในแง่คำวิจารณ์จากการกำกับหนังเรื่องแรกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเพราะฝีมือของเขา!! และรอบนี้เขาเปลี่ยนจากหนังฟิล์มนัวร์สืบสวนมาทำหนังแอ็คชั่นอาชญากรรมซะด้วย!
ไหนจะการโชว์ลูกไม้รายละเอียดเล็กๆสอดแทรกภาพสัญลักษณ์ในหนังของเขา เช่นฉากตำรวจเบือนหน้าหนีฉากที่แก๊งโจรเพิ่งจะคุมหน้าด้วยหน้ากากแม่ชีแล้วมองออกไปนอกรถมีเด็กน้อยคนหนึ่งมองมายังแก๊งปล้นธนาคารซึ่งไปสอดรับกับการเล่าเรื่องวัยเด็กของดั๊กการตัดต่อสภาพจิตใจของแคลร์หลังจากโดนปล่อยตัวให้เดินลงน้ำก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งลูกไม้เล็กๆที่เขาทำออกมาได้ดีและไม่ต้องพูดถึงการคุมสเกลฉากปล้นแต่ละฉากที่ยอดเยี่ยมมาก!
พูดถึงการแสดงกันบ้างเจเรมี่ เรนเนอร์คู่ควรกับรางวัลรองชนะเลิศออสการ์การแสดงสมทบฝ่ายชายปีนั้นมากๆครับ(รางวัลชนะเลิศปีนั้นต้องยอมให้เบลจาก The Fighter จริงๆ)เฮียเรนเนอร์แกแสดงได้กุ๊ยมาก ซาถุน ถ่อย ทราม คาดเดาได้ยาก แต่ดูเป็นมิตรรักพวกพ้อง แสดงดีจริง ๆ ครับ เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่ผมชอบด้วย เลือกรับงานช่วงหลังมานี้น่าสนใจดีครับ
ในขณะที่คนที่คู่ควรแก่การยกย่องมากที่สุดผมขอมอบให้เบนแอฟเฟล็กนักแสดงนำของเรื่องครับเขาคือผู้เสียสละอย่างแท้จริงแม้เขาจะเป็นตัวเดินเรื่องบทหนังพูดถึงตัวละครของเขาแต่เขาพร้อมจะทำตัวไม่เด่นกลืนไปกับฉากปล่อยให้นักแสดงร่วมฉากได้แสดงกันเต็มที่บทสมทบแค่ไหนถ้าได้ออกจอร่วมกับเฮียเบนนี่เด่นกันทุกคนเรนเนอร์เอย,รีเบคคาฮอลล์เอย,คริสคูเปอร์เอย,พีตพอเซิลธ์เวตเอย,แม้กระทั่งเบลคไลฟ์ลีเด่นกว่าแกหมดเลยครับ
ย้ำอีกครั้งว่าอยากเห็นเฮียเบนเลิกเล่นหนัง(ของคนอื่น)แล้วมาเป็นผู้กำกับเต็มตัวสักที!!แล้วจะเล่นหนังของตัวเองบทไหนก็แล้วแต่เฮียเลยครับ!!