The Outpost เป็นเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ทหารกองทัพสหรัฐฯ กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ต้องประจำการอยู่ที่ฐานทัพในหุบเขาลึกของอัฟกานิสถาน ที่กลายเป็นยุทธศาสตร์ที่ตั้งที่เสียเปรียบในเชิงการทำศึกการทหาร เนื่องจากตั้งอยู่กลางหุบเขาที่ล้อมรอบ และยังอยู่ในพื้นที่ฐานที่มั่นของตอลิบาน 54 ทหารกล้าที่ประจำการ ต้องต่อสู้เผชิญหน้ากับกลุ่มก่อการร้ายนับร้อยที่อาวุธครบมือ
หนังมาพร้อมกับเนื้อหาและโทนที่แบ่งอารมณ์ออกได้ชัดเจน โดยในครึ่งแรกเป็นการปูเรื่องราวและแนะนำตัวละครกับภารกิจประจำวันของคาแรกเตอร์ และยังเกลี่ยบทบาทแต่ละตัวละครออกมาได้เสมอภาคกัน ไม่ได้มีใครโดดเด่นหรือบทนำกว่าใคร ขณะที่ครึ่งหลังของเรื่องเต็มไปด้วยระเบิดตูมตาม ฉากแอคชั่นสงครามที่จัดเต็มต่อเนื่องแบบไม่ได้หยุดหายใจ ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดที่อยู่ตรงหน้า
แม้ว่าหนังจะเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จเดิมๆ ในแบบฉบับหนังแอคชั่นสงครามยุทธวิธีทางการทหารที่เคยเห็นและดูจากหนังเรื่องอื่นๆ มาบ้างแล้ว แต่ก็ถือว่าหนังมีวัตถุดิบชั้นดีเป็นโครงเรื่องที่มีความหนักแน่นและคล้ายตามได้ง่าย ด้วยการใช้ตัวละครและเหตุการณ์ขับเคลื่อนเรื่องราวไป โดยการใช้เทคนิคเล่าเรื่องพื้นฐานตามไทม์ไลน์ไปเรื่อยๆ แบบไม่โดดเด่นอะไร
The Outpost น่าจะเป็นหนังที่อัดแน่นด้วยนักแสดงชายคับจอ แม้ตัวละครจะเยอะแยะเต็มไปหมด ชนิดที่แม้หนังจะจบลงไปแล้วก็ยังไม่สามารถจดจำใบหน้าทุกคนได้ เพราะหนังเรื่องจะเชิดชูทุกตัวละครที่ล้วนแต่เป็นทหารกล้าที่เคยมีชีวิตอยู่จริง ทำให้ทุกๆ คาแรกเตอร์ย่อมสำคัญเท่ากันทุกบทบาท
แต่ที่โดดเด่นจริงๆ ก็น่าจะเป็น “สก็อตต์ อีสต์วูด” ที่แน่นอนว่าเขายังแสดงบทในลักษณะนี้ได้ค่อนข้างดีและยอดเยี่ยมอยู่แล้ว เขาคือเสน่ห์ส่วนหลักของเรื่อง แม้บทที่เขารับผิดชอบแทบจะไม่มีมิติอะไรเลยก็ตาม ขณะที่ “ออร์แลนโด บลูม” ก็ดูเหมือนจะมาเป็นเพียงส่วนเสริมของหนัง แต่ก็เป็นส่วนที่มีความสำคัญของเรื่องอยู่ไม่น้อย
หนังยังมี “แจ็ค เคซี”, “เทเลอร์ จอห์น สมิธ”, “ไมโล กิ๊บสัน” หรือ “โครีย์ ฮาร์คริกต์” ที่ถ่ายทอดความเป็นชายชาติทหารออกมาได้อย่างสมศักดิ์ศรี แต่ที่ขยี้บทบาทออกมาได้เด็ดดวงและมีมิติที่สุดก็คงจะเป็นการแสดงของดาราหนุ่มดาวรุ่ง “เคเลบ แลนดรีย์ โจนส์” ที่ต้องแบกรับบทเป็นทหารที่มีผลกระทบจากภาวะทางอารมณ์ เนื่องจากการเผชิญหน้ากับความรุนแรงในสมรภูมิสงคราม เขาเล่นได้เยี่ยมและเล่นได้จริง
ต้องบอกว่า The Outpost เป็นหนังสงครามที่อัดแน่นมาด้วยปฏิบัติการที่ทำให้คนดูต้องลุ้นระทึกและหัวใจเต้มแรงตามภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า หนังตอบโจทย์คนดูได้เป็นอย่างดี คอหนังสงครามระทึกขวัญประเภทนี้จะต้องถูกใจได้ไม่ยาก ครึ่งแรกอาจจะเบาๆ แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าเบื่อ เปลี่ยนโหมดมาสู่ครึ่งหลังที่ใส่ฉากสงครามมาแบบแทบไม่ได้หยุดหายใจ
โดยภาพรวมแล้ว The Outpost ฝ่ายุทธภูมิล้อมตาย นับว่าเป็นหนังที่ดูและจะประทับใจได้ไม่ยาก ด้วยการอ้างอิงจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงมาก่อน หลังดูหนังจบก็สามารถไปรีเสิร์ชค้นคว้าข้อมูลของเหล่าทหารกล้าได้ต่อ หนังมากับสูตรสำเร็จที่ไม่ได้สร้างความแตกต่างจากหนังเรื่องอื่นอะไร แต่ก็ยังสะใจและระทึกใจกับฉากแอคชั่นที่ทำออกมาได้ดี