ระยะเวลาของหนังประมาณ 80 นาทีกับสถานที่ปิดภายในห้องชันสูตรศพ ทำให้ทุกอย่างลงตัวและเข้าที่เข้าทาง โดยเฉพาะการสืบสวนจากศพสาวปริศนา (Olwen Catherine Kelly) ที่ไร้ที่มากที่ไป สิ่งที่รู้มีเพียงเท่าที่ตาเห็นเท่านั้น ทำให้ทอมมี่ (Brian Cox) และ ออสติน (Emile Hirsch) สองพ่อลูกต้องทำการชันสูตรศพหาสาเหตุการตาย ซึ่งยิ่งหามากเท่าไร ยิ่งปรากฏความจริงที่น่าตกใจมากเท่านั้น
ทั้งน่ากลัวและน่าดูในเวลาเดียวกัน แทบไม่อยากให้พลาดจังหวะใดๆของหนังเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะในส่วนความจริงที่มีการสืบจากศพอย่างละเอียดถี่ถ้วน พยายามหาสาเหตุการตายที่ยิ่งพบยิ่งสร้างความฉงนใจขึ้นเรื่อยๆ แต่ละข้อสันนิษฐานล้วนน่าเชื่อถือและน่าแปลกใจ แต่ละอย่างที่เกิดขึ้นกับศพล้วนไม่ธรรมดาแทบทั้งสิ้น เป็นศพที่ดูผิดธรรมชาติเพราะไม่ร่องรอยหรือบาดแผลใดๆจากภายนอก กระนั้นมีจุดสังเกตตามข้อมือข้อเท้าที่หัก ราวกับศพผู้หญิงคนนี้ถูกทำให้กระดูกหักเพื่อไม่ให้หนีหรือใช้สังเวยในพิธีบูชายัญ
“Thou Shalt not a suffer a witch to live”
Exodus 22:18 (22:17 in Hebrew)
ตอนดูครั้งแรกเข้าใจแต่ไม่อาจลิ้มรสสิ่งที่หนังสื่อได้เต็มที่ จึงตัดสินดูอีกรอบพร้อมกับหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ซึ่งไม่แปลกใจว่าทำไมเรื่องราวถึงโยงไปถึงเรื่องแม่มดได้ ซึ่งการชันสูตรศพพบเบาะแสสำคัญ เช่น สภาพพยาธิของผู้ตายที่มีลักษณะถูกตรึง(ข้อมือข้อเท้าหัก) ปอดที่ดำราวกับสูดควันเผาไหม้จำนวนมาก หัวใจที่มีบาดแผลด้วยของคมหลายจุด การพบดอกไม้เป็นพิษทั้งที่อยู่ต่างถิ่นในลำไส้ และที่ปริศนาจากผ้าห่อศพจากลำไส้เช่นกัน โดยผ้าดังกล่าวได้ลงอักขระหรือยันต์ราวกับผ่านพิธีกรรมสักอย่างมา จากข้อมูลทั้งหมดนี้นำไปสู่การตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
จากข้อมูลที่ได้แต่ละส่วนนำไปสู่การตั้งสมมติฐานว่าหญิงรายนี้มีชะตากรรมให้จบชีวิตลงด้วยพิธีกรรมบางอย่าง ซึ่งความเป็นไปได้ที่ใกล้เคียงมากที่สุดคือเธออาจเป็นแม่มด แต่จะเป็นได้อย่างไรและทำไม การตั้งคำถามในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และการแพทย์ก้าวหน้าเป็นเรื่องที่แปลก เพราะอะไรความเชื่อแม่มดยังมีอยู่ แล้วศพผู้หญิงรายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรบ้าง
ถ้าจำกันได้จากประโยคหนึ่งที่ว่า”ซาเลมไม่มีแม่มด”จากปากของทอมมี่ ที่จริงแล้วมีหรือไม่นั้นไม่อาจบอกได้ชัดเจนและถูกต้องซะทีเดียว แต่เคยเกิดกรณีตั้งสงสัยการมีอยู่ของแม่มดขึ้นอยู่จริง ทั้งกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายจนต้องมีการปรับข้อกฎหมายห้ามนำ”หลักฐานความฝันและนิมิต (Spectral Evidence)” มาใช้
“การไต่สวนคดีแม่มดแห่งซาเลม” (Salem Witch Trials)
เมืองซาเลม รัฐแมสสาชูเซตส์ ในช่วงฤดูหนาวจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปี 1692 ถึง 1693 ได้เกิดเหตุการณ์”การล่าแม่มด” (witch hunt) มีผู้ต้องสงสัยทั้งหมด 141 ราย ทั้งชายและหญิงถูกตัดสินว่าเป็นแม่มดและพ่อมด มี 19 คนถูกจับแขวนคอ และอีกหลายคนต้องอยู่ในคุก ซึ่งเรื่องทั้งหมดมาจากอาการ”ชัก”ของเด็กที่หาคำอธิบายไม่ได้ในขณะนั้น(สมัยนั้นวิทยาศาสตร์และการแพทย์ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจที่มากนัก) ทั้งหมอและพระต่างหวาดกลัวในอาการที่เกิดขึ้น จึงสรุปว่าโดนแม่มดสาป
ข่าวว่าเป็นฝีมือแม่มดได้สร้างความหวาดกลัวแก่ชาวบ้าน ทำให้การตามหาแม่มดจึงเริ่มต้นขึ้น ซึ่งกลุ่มคนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาคือคนที่เข้าสังคมไม่ค่อยได้ กระบวนการไต่สวนเป็นไปอย่างเร่งรีบจากการชี้ตัวของเด็กที่มีอาการชัก ทั้งคำให้การที่ไม่เข้าทีและข่าวลือล้วนถูกใช้ในการตัดสิน กระบวนการของศาลตัดสินให้ผิดอย่างไม่รีรอคำแก้ต่างของผู้ต้องสงสัย ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต หลังจากนั้นจึงเกิดการประณามเหตุการณ์นี้ และประกาศยกเลิกการตัดสินคดีโดยใช้หลักฐานที่ไม่มีน้ำหนัก และการอาศัยคำกล่าวอ้างเลื่อนลอยเหนือธรรมชาติ ทั้งลบล้างมลทินผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดและได้รับโทษประหาร
“ซาเลมไม่มีแม่มด”จากปากของทอมมี่อาจหมายถึงเรื่องเล่าหรือตำนานพื้นเมือง ทว่าครั้งประวัติศาสตร์ได้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้จริง และมีผู้รับเคราะห์จากความไม่รู้เพราะหวาดกลัว แทนที่จะกำจัดแม่มด กลับกลายเป็นฆ่าผู้บริสุทธิ์เสียแทน ถ้าไม่มีแม่มดแล้วสิ่งที่เกิดกับศพที่ผ่าชันสูตรคืออะไร ทำไมถึงมีสิ่งแปลกๆตามร่างกาย พิธีกำจัดแม่มดได้สร้างอะไรไว้กับเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย หรือการทำลายแม่มดได้สร้างแม่มดเสียเอง
ความเจ็บปวด ความทรมาน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเหยื่อที่ถูกกล่าวหาเป็นแม่มด เพราะไม่ต่างกับสังคมกลั่นแกล้งที่ลงโทษทั้งที่ไม่ผิดหรือมีหลักฐานที่ชัดเจนด้วยซ้ำ ความเจ็บแค้นได้กลายเป็นคำสาป บทสรุปของศพผู้หญิงปริศนารายนี้จึงไม่ต่างกับแม่มดที่เกิดจากความแค้น การที่ศพสภาพยังอยู่ดีไม่บุบสลายใดๆแม้ผ่านมาหลายร้อยปีเพราะต้องการส่งมอบความเจ็บปวดต่อผู้พบเจอ เพื่อให้รู้ในสิ่งที่เธอเจอนั้นทนทุกข์สาหัสสากรรจ์ขนาดไหน