หลังจากที่รอคอยมานานนับปี ในที่สุดก็ได้ร่วมปิดตำนานซามูไรพเนจรภาคหนังโรง ที่โลดแล่นในวงการภาพยนตร์มานานเกือบ 10 ปี นับจากภาคแรกออกฉาย ซึ่งถ้าให้สรุปความรู้สึกที่มีต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ยังคงยืนยันเหมือนเดิมครับ ว่านี่คือภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
แม้ว่าแฟนคลับ ซามูไรพเนจร ที่ติดตามมาตั้งแต่เวอร์ชั่นหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์มาก่่อน อาจจะรู้สึกเหมือนกับแอดมิน ตรงที่ “เล่าทุกอย่างไม่ครบ แต่จบสมบูรณ์อย่างสมเหตุผล” ในภาพยนตร์ได้ตัดอีเว้นท์การต่อสู้ที่กินเวลา ลากยาวมาหลายเล่ม ให้อยู่ใน 2 ชั่วโมงได้ แม้จะโดนตัด หัน ดัดแปลงบท แต่ตัวภาพยนตร์ กลับให้ความรู้สึก “พอดี” ในองค์รวม น่าเสียดายที่บางจุด กลับกลายเป็นสปอยล์เนื้อหาภาค The Beginning ซะงั้น ความว้าวของเรื่องราวในภาคนั้น คงเหลือแค่ฉากแอคชั่นเสียแล้วล่ะมั้ง อันนี้ต้องรอภาพยนตร์ฉาย แล้วค่อยว่ากัน
ส่วนสิ่งที่ขาดหายไป คือ เหตุผลของตัวละครฝ่ายเอนิชิ ที่แม้จะบอกว่า “รวมพลคนมีความแค้นกับบัตโตไซ” แต่ในหนัง เราไม่รู้สึกถึงความคับแค้นใจอะไรเลย ซึ่งจุดนี้ ในหนังสือการ์ตูน หรือแม้แต่อนิเมก็ตาม ก็ยังหยิบจุดดังกล่าวมาเล่า แต่ด้วยความที่มีเวลาจำกัด ทำให้ต้องตัดทิ้งในส่วนนี้ และนั่น ก็พาลให้เรื่องราวของ “ตัวละครสมทบ” กลายเป็นจืดจางไปเลย
ตัวละครที่ “เคยเด่น”จากภาคก่อนๆ กลายเป็น “บรอนต์เซนต์” ที่มีหน้าที่ถ่วงเวลาให้เซย่าไปลุยกับเคียวโก ใน 12 ปราสาท ยังไง ยังงั้น ไม่มีอะไรให้พูดถึง หรือจดจำไปกว่า ฉากบู๊ที่ต้องร้องว่า “เหยดเข้ เท่จัด” นอกนั้นก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ แถมบางตัวปรับบทแบบ “หายจากจอไปเลยก็มี” ซึ่งน่าเสียดายมาก ภาคก่อนอย่างเข้มเลยแท้ๆ
ส่วนฉากบู๊ เอาตรงๆ “เราไม่รู้สึกว่าเอนิชิเก่งกาจอะไรมากนัก” (ชิชิโอในภาคเกียวโตหม้อไฟทะเลเพลิงอะไรนั่น ยังดูเก่งกว่านี้เยอะ) ในหนังสือการ์ตูน มีการโม้บรรยายสรรพคุณของเพลงดาบวาโตไว้จนแบบเหลือเชื่อ แต่ในภาพยนตร์ ปรับให้เรียลขึ้น แม้จะหลงเหลือความ”เบียว” เอาไว้บ้าง
แต่ก็ยังรู้สึกถึง “เสน่ห์ที่หายไป” ซึ่ง ส่งผลถึงบทสรุปเรื่องราวที่ต่างไปจากหนังสือการ์ตูนไปพอสมควร จุดนี้ จะมองว่าดีก็ได้ จะมองว่าผิดคาด ก็ได้เช่นกัน
ส่วนตัว อยากให้เพลงดาบวาโตมันโม้กว่านี้ เอาแบบแทงแก้วหูแตกอะไรแบบนั้นไปเลย
ส่วนงานภาพ หายห่วง สวยงาม แคปภาพกันสนุกเลย (ถ้าสายเสพงานภาพนิ่งมาเห็นล่ะนะ) เพราะภาพถ่ายมุมกว้างในเรื่อง หรือแม้แต่การจัดแสงเงา ลำดับภาพ ล้วนขายบรรยากาศย้อนยุคที่เก็บดีเทลเล็กๆน้อยๆได้จนเราเชื่อว่าเขานั่งไทม์แมชชีนไปถ่ายทำในยุคนั้นจริงๆ ทีมงานทำพร๊อพ คือเก่งมากๆ และก็ใช้พร๊อพสิ้นเปลืองด้วยเช่นกัน