หนังเล่าเรื่องชีวิตของ เรย์โนลด์ส วู้ดค็อก (แดเนียล เดย์-ลูอิส) ช่างตัดเสื้อผู้คอยรังสรรค์เสื้อผ้าให้กับสตรีสูงศักดิ์ในยุค 50 เสื้อผ้าของเขาหรูหรา สวยงาม มีคุณค่ามากพอที่จะกลายมาเป็นความฝันของผู้หญิงแทบทุกคนว่าสักวันหนึ่งจะได้สวมชุดวิวาห์ที่เขาบรรจงสร้างขึ้นมา
แต่ภายใต้ความสวยงามที่สมบูรณ์ของชุดเหล่านั้น นอกจากฝีมือ แพสชัน และความตั้งใจในการทำงาน ชีวิตของเรย์โนลด์สแทบไม่มีอะไรสักอย่างที่เข้าใกล้คำว่า ‘สมบูรณ์’ เขาเป็นอินโทรเวิร์ตที่มีชีวิตอยู่ภายใต้พื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง เขารักช่วงเวลาที่ได้เก็บตัวอยู่กับชิ้นผ้า และเกลียดทุกช่วงวินาทีที่ต้องออกงานสังคม แม้กระทั่งวันโชว์ผลงานสู่สาธารณะ เขาทำได้เพียงแอบมองชิ้นส่วนของความภาคภูมิใจผ่านรูตาแมวเล็กๆ ที่ช่องประตูเท่านั้น
แม้กระทั่งในเรื่องความสัมพันธ์ เขาคือผู้ชายที่โหยหา ‘คนรัก’ แต่กลับไม่เคยพร้อมที่จะมอบ ‘ความรัก’ นั้นให้กับใคร และอ่อนแอถึงขนาดไม่กล้าตัดขาดความสัมพันธ์นั้นด้วยตัวเอง ทำได้เพียงแสดงท่าทีเฉยชาและปล่อยให้พี่สาวเป็นคนตัดความสัมพันธ์ให้กับหญิงสาวผู้หลงเข้ามาในชีวิตของเขาแทน
จนกระทั่งเขาได้พบกับอัลม่า (วิกกี้ ครีพส์) สาวเสิร์ฟในชนบทที่ห่างไกล และตัดสินใจถักทอเส้นด้ายแห่งความสัมพันธ์ครั้งใหม่ขึ้นอีกครั้ง และกลายเป็น ‘อาภรณ์แห่งรัก’ ที่ทำให้ชีวิตของเพอร์เฟกชันนิสม์ผู้หวาดกลัวต่อทุกสิ่งอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
ช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปอย่างรวดเร็วและไร้อุปสรรค ทั้งคู่ช่วยเติมเต็มสิ่งที่อีกคนหนึ่งขาดได้อย่างไม่มีจุดไหนบกพร่อง เรย์โนลด์สได้คนรักที่ดูเหมือนจะเข้าใจทุกอย่าง และร่างกายของเธอก็ซัพพอร์ตกับการทำงานของเขา ด้วยการเป็น ‘แบบ’ ที่ตรงกับความต้องการของเขามากที่สุด ที่สำคัญเธอพร้อมจะทำหน้าที่อย่างแข็งขันไม่ปริปากบ่น และสามารถ ‘ยืน’ อยู่ตรงหน้าได้นานตราบที่เขาต้องการ
ส่วนอัลม่า ได้เติมเต็มสถานะในแบบที่เธอไม่ได้รับมาก่อน จากสาวเสิร์ฟในร้านกาแฟเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครให้ความสนใจ แต่เรย์โนลด์สมองเห็นความสมบูรณ์ที่อยู่ในตัวเธอ และรู้จักฉวยใช้ร่างกายของเธอให้มีคุณค่าและเปล่งประกายในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอภูมิใจทุกครั้งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในศิลปะชั้นสูงที่เขาสร้างขึ้น และเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอ ‘รัก’ เขาได้อย่างที่ไม่เคยมอบให้มาก่อนอีกเช่นกัน
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มส่อเค้าปัญหาตั้งแต่วันแรกที่ทั้งคู่มาอยู่ด้วยกัน เพราะเพียงแค่เรื่องเล็กๆ อย่างการทาเนยบนขนมปังของอัลม่า กลับกลายเป็นการก่อวินาศกรรมทางสุนทรียะยามเช้าของศิลปินที่ต้องการเพียงความเงียบสงบ
แม้กระทั่งความปรารถนาดีของอัลม่า ที่ต้องการเข้ามา ‘ดูแล’ ชีวิตของชายวัยกลางคนที่ไม่ต้องการใครก้าวล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวแม้แต่ปลายเส้นผม ยิ่งเธอพยายามเข้าใกล้เขาเท่าไร เขาก็ยิ่งปิดตัวเองให้ไกลจากเธอขึ้นไปทุกที
ถึงแม้ทั้งคู่จะมีปากเสียงรุนแรงกันบ่อยครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่หนังยังคงทำให้เรารู้สึกได้คือ ยิ่งอยู่ด้วยกัน ยิ่งเห็นปัญหาของกันและกัน ยิ่ง ‘เกลียด’ ในสิ่งที่เป็นของอีกคนหนึ่งมากเท่าไร แต่ความรักของทั้งคู่กลับแปรผกผันและเพิ่มขึ้นจนรู้สึกว่า ชีวิตของเขาและเธอจะไม่สามารถขาดใครคนใดคนหนึ่งได้อีกต่อไป
และปัญหาใหญ่ของเรย์โนลด์สก็เกิดขึ้นจากความรู้สึกที่ว่าเขารักอัลม่ามากเกินไป ความรักของเธอเริ่มทำให้เขาสูญเสียพื้นทีที่เคยมีอยู่ อัลม่าค่อยๆ รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของเขาทีละนิด และบานปลายจนส่งผลกระทบต่อการทำงาน ที่เขาไม่มีสมาธิกับการทำงานได้เหมือนเดิมอีกต่อไป
ในขณะที่อัลม่าเริ่มเดินเกมกระชับพื้นที่เข้าไปใกล้เขามากขึ้น เธอตัดสินใจฝืนกฎเหล็กทั้งๆ ที่ทุกคนห้าม เพราะรู้ดีว่าการกระทำเช่นนั้นมีแต่ทำให้เรย์โนลด์สสติแตกขึ้นไปอีก เพราะคิดว่าความรักของเธอสามารถทำลายกำแพงของเรย์โนลด์สได้ และนำไปสู่บทสนทนาผ่าน ‘หน่อไม้ฝรั่ง’ ที่เขาตัดสินใจตอบโต้ด้วยมาตรการเด็ดขาด ด้วยการเหยียบย่ำความรักและปรารถนาดีของเธอจนแหลกละเอียด
หากเป็นหญิงสาวทั่วไปเมื่อเจอเหตุการณ์เช่นนี้ คงเลือกที่จะหันหลังให้กับชายแก่แสนงี่เง่าคนนี้ทันที แต่อัลม่าเข้มแข็งและ ‘รัก’ เขามากกว่าที่จะยอมเดินจากไป ทั้งยังเลือกที่จะทวงคืนหัวใจที่ถูกทำลายด้วยมาตรการที่เด็ดขาดยิ่งกว่า
เธอไม่เหยียบย่ำ แต่เธอก็ไม่ปลอบโยน เธอรู้ดีว่าช่วงเวลาเดียวที่เขาและเธอจะรักกันได้มากที่สุด คือช่วงเวลาที่เรย์โนลด์สอ่อนแอ และในเมื่อเปลือกนอกที่เขาสร้างเข้มแข็งจนไม่อาจกะเทาะออกไปได้ เธอจึงเลือกที่จะทำให้เขาอ่อนแอลงด้วยมือของเธอเอง
เธอตัดสินใจทำลายแพตเทิร์นความรักที่เขาสร้างขึ้น เพียงเพื่อที่จะสามารถ ‘รัก’ ผู้ชายคนนี้ได้ต่อไป