“คุณเชื่อในโลกหน้ามั้ย”
หนทางเดียวแห่งการได้มาซึ่งความสามารถและอำนาจพิเศษเหนือมนุษย์
นั่นคือการยอมปลิดชีวิตตนเองเสีย แล้ววิถีแห่งการเป็น “โอปปาติก” (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ) จะเริ่มต้นขึ้น
มีคำเล่าขานถึง “พลังพิเศษ” แห่งตัวตนโอปปาติกที่มีแตกต่างกันไป
แต่ทุกครั้งที่มันเลือกใช้ กลับต้องแลกด้วย “คำสาป” อันแสนเจ็บปวดอยู่เสมอ
ที่ผ่านมาเหล่ามนุษย์อาจไม่เคยล่วงรู้ถึงชีวิตใน “โลกซ้อนทับ” นี้
จนกระทั่งเมื่อมีมนุษย์หาญกล้า “คิดล่า” เหล่าโอปปาติก
เพื่อ “ท้าทาย” ขอบเขตแห่งอำนาจนานนับศตวรรษของพวกมัน
เมื่อนั้น…สงครามระหว่าง “มาร 5 ตน“ กับ “1 คนธรรมดา“ จึงอุบัติขึ้น
ถึงเวลาที่ “มารจะล่าคน” และ “คนจะล่ามาร”
“โอปปาติก (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ) เกิดอมตะ” เล่าถึงเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งบนโลกที่ใช้ชีวิตปะปนอยู่กับผู้คนทั่วไป แต่ละคนที่เป็นโอปปาติกนั้นจะได้รับพลังพิเศษบางอย่างที่ทำให้มีความสามารถเก่งกาจเหนือคนอื่นๆ หากแต่พลังพิเศษนั้นก็มีขีดจำกัดในการใช้ และจะค่อยๆ หมดไปเมื่อสิ้นอายุขัยในที่สุด
“ศดก” (นิรุตติ์ ศิริจรรยา) โอปปาติกตนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่กับความเชื่อของตนเองว่าจะสามารถเอาชนะความตายได้ด้วยการเป็นอมตะ แต่อุปสรรคอย่างเดียวที่คอยขัดขวางไม่ให้ความต้องการของศดกเป็นจริงก็คือ “จิรัสย์” (สมชาย เข็มกลัด) โอปปาติกอีกตนที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างลึกลับและดูอันตรายเกินไปที่ศดกจะวางใจให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ ทางเดียวที่ศดกจะสามารถเป็นอมตะได้ก็คือต้องกำจัดจิรัสย์ออกไป
ศดกจึงวางแผนการโดยให้ลูกน้องสุดจงรักภักดีนาม “ธุวชิต” (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ออกตามหา “เตชิต” (ลีโอ พุฒ) นักสืบเอกชนคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ว่าตนเองนั้นมีพลังพิเศษของโอปปาติกแอบซ่อนอยู่
ศดกได้ล่อหลอกให้เตชิตกลายเป็นโอปปาติกด้วยการฆ่าตัวตาย และได้ว่าจ้างให้เตชิตใช้พลังพิเศษของเขาออกตามหาโอปปาติกตนอื่นๆ เพื่อร่วมมือกันหาทางกำจัดตัวอันตรายอย่างจิรัสย์ที่ตอนนี้กำลังตามล่าหญิงสาวลึกลับนางหนึ่งอยู่
เตชิตตกลงช่วยเหลือศดกและได้รู้จักกับ “ปราณ” (เข็มอัปสร สิริสุขะ) สาวลึกลับคนที่จิรัสย์ต้องการจะฆ่า และหลงรักปราณทันทีที่ได้เจอหน้ากันครั้งแรก ซึ่งตัวปราณนี่เองที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้โอปปาติกตนอื่นๆ มารวมกันได้
“ไปศล” (ชาคริต แย้มนาม) โอปปาติกนักฆ่าที่ไม่เคยผูกพันยึดติดกับใคร นอกจากอดีตของตัวเอง และด้วยความรู้สึกผูกพันบางอย่างของไปศลที่มีต่อปราณ ทำให้เขาแอบตามดูแลปราณอยู่ห่างๆ
“อรุษ” (เร แม็คโดแนลด์) กับ “รามิล” (อธิป นานา) สองโอปปาติกเพื่อนแท้ชนิดตายแทนกันได้ เมื่อใดที่อยู่รวมกันจะแข็งแกร่ง แต่ถ้าแยกกันจะอ่อนแอ เพราะต่างคนต่างก็มีพลังที่จะช่วยอุดจุดอ่อนของกันและกันได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้เองทำให้เข้าถึงตัวได้ยาก เพราะไม่เคยไว้ใจใคร จนกระทั่งทั้งคู่ได้มาสานสัมพันธ์กับปราณ
แม้ดูเหมือนว่าเหล่าโอปปาติกทั้งหมดจะถูกดึงดูดมารวมกันโดยมีปราณเป็นจุดเชื่อมโยง แต่เรื่องราวก็ไม่ได้ง่ายไปเสียทั้งหมด เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีแง่มุมที่ไม่ลงรอยกันอยู่ ประกอบกับเรื่องราวที่ดูคลุมเครือระหว่างศดกกับจิรัสย์ นั่นได้นำไปสู่การปะทะกันครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และนำมาซึ่งความสูญเสียพร้อมๆ กับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งของชีวิต
สุดท้ายแล้ว บางสิ่งบางอย่างที่ถูกหล่อหลอมขึ้นเป็นเงื่อนงำจะถูกคลี่คลายหรือไม่
และจะเกิดอะไรขึ้น ถ้า “ความจริง” ที่ทุกคนอยากรู้กลับกลายเป็น “ความเจ็บปวด”
พวกเขา…เหล่า “โอปปาติก” จะรับมือกับความจริงนั้น…อย่างไร
กลายร่าง…โอปปาติก (เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับโอปปาติก)
“โอปปาติก” หมายถึง เกิดผุดขึ้น คือ เกิดขึ้นมาโตเต็มที่ในทันทีทันใด โดยอำนาจของพลังกรรมเป็นตัวสนับสนุน โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการวิวัฒน์เหมือนสัตว์ทั่วไป เช่น เทวดา, เปรต, อสูรกาย, ผี, มนุษย์บางจำพวก (พระอนาคามี) โอปปาติก-สัตว์นี้เกิดหรือตายจะไม่ทิ้งซากหรือเนื้อไว้ให้เห็น
การกำเนิดทางหลักชีววิทยาทางพุทธศาสนามี 4 รูปแบบ
ความรู้เรื่องการเกิดใหม่ของสรรพชีพสรรพสัตว์ใน 4 รูปแบบของพุทธศาสนา นับว่าเป็นก้าวหน้ากว่าทางวิทยาศาสตร์ เพราะในวงการวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชาพันธุศาสตร์ยังไม่อาจเข้าถึงความรู้เรื่องกำเนิดของสิ่งมีชีวิตในรูปแบบที่ 4 “โอปปาติก” ได้เลย แต่ในทางพุทธศาสนามีมานาน 2 สหัสวรรษแล้ว
พลังงาน (วิญญาณ) ในมิติคู่ขนาน (สัมปรายภพ)
มีผู้กล่าวว่าสรรพสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์แลเห็น มันเป็นเพียงแค่เปลือกนอกซึ่งเป็นตัวแทนของบางสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ซึ่งก็คือพลังงานอันเป็นแก่นแท้ที่เร้นอยู่ภายใน ร่างกายภายนอกจึงไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ และเมื่อร่างกายเสื่อมสลายลง สิ่งที่ต้องดำรงอยู่ต่อไปก็คือพลังงานที่ดำรงอยู่ภายในที่เป็นแก่นแท้นั่นเอง
บางครั้งการที่เรามองไม่เห็นบางสิ่งหรือพิสูจน์ไม่ได้ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งนั้นไม่มีอยู่ กล่าวได้ว่าภพหน้านั้น ถ้าหากมีสถิตอยู่ที่ไหน ก็ตอบได้ง่ายๆ ว่าอยู่ในโลกเดียวกันกับมนุษย์โลกของเรานี่เอง เพียงแต่คงรูปเป็นพลังงานที่เรามองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าของมนุษย์ เนื่องจากอินทรียวิสัยคือตาและจิตของเรา ไม่มีศักยภาพพอที่จะมองเห็น หากแต่ว่าเราแปรสภาพเป็นพลังงาน (วิญญาณ) อันเป็นแก่นแท้ของมนุษย์เมื่อใด เมื่อนั้นอินทรียวิสัยของเราก็จะมีศักยภาพพอที่จะมองเห็นในภพภูมิที่ซ้อนทับอยู่ได้ ดังที่เราเรียกกันติดปากว่า “โลกหน้า” หรือ “สัมปรายภพ” นั่นเอง
“เจตภูติ” หมายถึง ร่างทิพย์ (Astral Body) ตามลัทธิโยคีโบราณ ไม่ใช่วิญญาณ แต่เป็นกายทิพย์ที่เคลื่อนออกจากร่างและปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งคราว ลัทธิโยคีโบราณ แบ่งมนุษย์ออกเป็น 7 ชั้น ดวงวิญญาณอยู่ชั้นในสุด
7. วิญญาณ 6. ดวงจิต 5. ปัญญา 4. สัญญา 3. ปราณ 2. เจตภูติ 1. ร่างกาย
ผมคาดหวังจะให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แนว Action Fantasy
ที่มีเรื่องราวและการตีความจากความเชื่อ
แนวคิดในแบบพุทธศาสตร์ซึ่งมันใกล้กับวิถีของคนไทย
บวกกับฝีมือระดับเยี่ยมจากนักแสดงทุกคนที่ร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องนี้
เราคงได้การห้ำหั่นกันของพวกเขาเหล่านั้น
ทั้งฉากแอคชั่นและอารมณ์ที่นำไปสู่การต่อสู้
ซึ่งทั้งหมดผมคิดว่ามันน่าสนใจ
โปรเจกต์ “โอปปาติก” (โอ-ปะ-ปา-ติ-กะ)
มันจึงเริ่มต้นขึ้น…