หนังอินเดียที่เรื่องนี้ ว่าด้วยเรื่องราว ฆาลิบ ของชายผู้สูญเสียภรรยา ซึ่งทั้งชีวิตเหลือเพียงแค่อาชีพขับรถบรรทุก ในขณะที่ร่างกายทรุดโทรมลงทุกวันด้วยอายุที่มากขึ้นและอาการปวดหลังที่รุมเร้า แต่ตัวเขาก็ยังมีสิ่งที่ภาคภูมิใจคือการเป็นคนที่ขับรถบรรทุกเป็นระยะทางมากกว่า 500,000 กิโลเมตร ซึ่งเป็นหลักไมล์ที่เหนือกว่าคนขับทุกคน
สำหรับตัวหนัง จะเน้นเล่าเรื่องราวและสะท้อนวิถีชีวิตของ ฆาลิบ ผู้ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของชาวอินเดียที่ทำงานหนัก หาเช้ากินค่ำ ใช้ชีวิตทุกวันไปกับการขับรถบรรทุกด้วยสภาพร่างกายที่ตรากตรำมานาน แตชีวิตก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรดีขึ้น อีกทั้งยังมีปัญหารุมเร้าเข้ามาหลายด้าน ทั้งเรื่องครอบครัวทางฝั่งภรรยาที่เสียไปแล้วมาเรียกร้องค่าชดเชย ไปจนถึงชีวิตการทำงานขับรถที่อยู่บนความไม่แน่นอนและแทบจะนับถอยหลังลงทุกวัน
แต่ถึงอย่างนั้นงานขับรถบรรทุกก็เป็นบทพิสูจน์คุณค่าและตัวตนอย่างเดียวที่เขามี เรียกได้ว่าตัวหนังจิกกัดและสะท้อนภาพของชนชั้นแรงงานในอินเดีย (และอาจจะทั้งโลก) ได้อย่างถึงแก่นเลยทีเดียว
จุดเด่นของหนังที่ต้องยกย่องก็คือ เทคนิคการถ่ายทำ องค์ประกอบศิลป์ งานกำกับ ที่ทำได้ดีและมีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะการใช้เทคนิค Long Take เข้ามาผสมผสานในหลายช่วงของหนัง เสมือนเรากำลังตามรอยดูชีวิตช่วงหนึ่งของ ฆาลิบ อย่างจริงจัง ช่วยให้เรารู้สึกอินไปกับชะตาชีวิตของเขาได้ไม่ยาก มีอีกจุดหนึ่งที่ผู้เขียนชอบในตัวหนังก็คือการพูดถึง การตั้งด่านตรวจของตำรวจ ที่พวกคนขับรถในเรื่องจะเรียกว่า นักรีดไถ เป็นการจิกกัดสังคมจริงๆ ได้เจ็บแสบดี
หนังยังบอกเล่าวิถีชีวิตของคนอินเดียในระดับท้องถิ่น ระดับหมู่บ้าน ที่มีลักษณะสังคมเฉพาะตัว ทั้งในแง่ของการอยู่ร่วมกัน การตัดสินความขัดแย้งในหมู่บ้าน จารีตต่างๆ เสมือนเป็นการบอกเล่าวิถีชีวิตของคนอินเดียในแบบดิบๆที่เราอาจจะไม่ได้พบในภาพยนตร์ที่ฉายในโลกตะวันตก ที่สำคัญคือเป็นการบอกเล่าวิถีชีวิตของชนชั้นคนขับรถบรรทุกและแรงงานที่มักจะถูกละเลยในสื่อต่างๆ แต่พวกเขามีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและธุรกิจต่างๆ อย่างขาดไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุนจนเป็นเรื่องยากที่จะลืมตาอ้าปาก
ตัวหนังยังไม่ได้นำเสนอความขัดแย้งระหว่างชนชั้นแรงงานและนายทุนเท่านั้น ยังมีความขัดแย้งระหว่างชนชั้นแรงงานด้วยกันเอง ไม่ว่าจะในแง่ของผลประโยชน์ การแย่งตำแหน่งงาน ซึ่งก็ทำให้เราเห็นภาพว่าทำไมชนชั้นแรงงานจึงรวมตัวหรือรวมพลังกันได้ยาก เพราะภายในพวกเขาก็มีความขัดแย้งกันเองด้วย ซึ่งบทตรงนี้สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นจากความระแวงของฆาลิบที่มีต่อเด็กฝึกงานของตนเอง รวมถึงช่องว่างระหว่างอายุและยุคสมัยที่ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกันคนละโลก ในส่วนนี้ชอบประโยคหนึ่งที่ฆาลิบคุยกับเด็กฝึกงานของตนที่เขาถามว่า รู้จัก ซัดดัม ฮุสเซนไหม แต่อีกฝ่ายกลับบอกว่าไม่รู้จัก บทพูดสั้นๆตรงนี้เหมือนเป็นการขับเน้นความแตกต่างอย่างสุดขั้วระหว่างคนสองยุค ทั้งในแง่ประสบการณ์ชีวิตและอื่นๆ
แต่ตัวหนังเองก็ไม่ได้นำเสนอว่านายทุนเจ้าของกิจการคือตัวร้ายเสมอไป เพราะพวกเขาก็มีปัญหาของตนเอง ทั้งการต้องจ่ายส่วยให้ตำรวจ ให้เบื้องบน ในขณะที่ต้องรักษากิจการเอาไว้ แล้วยังมีทัศนคติของเจ้าของรุ่นพ่อกับลูกชายเจ้าของที่เป็นคนรุ่นใหม่แล้วมีความคิดแตกต่างออกไป ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งกับเล่าคนงานอย่างเลี่ยงไม่ได้
สำหรับจุดด้อยของหนังก็มีอยู่ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องราวที่ช้า เนิบนาบ ใช้เวลานานเกือบครึ่งเรื่อง กว่าตัวหนังจะพาเราเข้าสู่สาระที่เป็นแก่นของเรื่องราว ถือว่าเป็นข้อเสียหนักของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ แล้วหนังยังเต็มไปด้วยไดอาล็อคที่พยายามตอกย้ำความสิ้นหวังของชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสมือนว่าชีวิตแทบไม่มีอะไรดีเลย รวมถึงจังหวะการเล่าเรื่องที่ไม่ค่อยต่อเนื่องมากนัก