Ma Rainey เป็นนักร้องเพลงบลูส์ผิวดำชาวอเมริกันในยุคที่การเหยียดผิวยังมีอยู่ ตัวหนังเล่าเรื่องในหนึ่งวันที่ Ma Rainey ต้องเข้าไปอัดเสียงในสตูดิโอในเมือง
โดยหนึ่งในสมาชิกวงแบ็คอัพของเธอคือลีวี (Chadwick Boseman) นักดนตรีหนุ่มไฟแรงที่ต้องการไปไกลกว่านักดนตรีแบ็คอัพกระจอกๆ ตัวหนังจะค่อยๆ เฉลยเหตุผลที่ทำไม Ma Rainey
ต้องทำตัวเรื่องมากเกินเบอร์ตลอดเวลา และทำไมลีวีถึงต้องมีฝันสูงถึงขนาดนั้นมา เรนีย์ ตำนานเพลงบลูส์ Ma Rainey’s Black Bottom สนุกไหม
ตัวหนังทำให้อารมณ์เหมือนดูละครเวที บทพูดเลยค่อนข้างเยอะ ในขณะที่เนื้อเรื่องเคลื่อนค่อนข้างช้า แต่ละคนจะเล่นใหญ่เล่นเวอร์ มีโมเมนต์ที่บรรเลงเพลงไปเรื่อยๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศด้วย เอาเข้าจริงคือเป็นหนังที่ค่อนข้างน่าเบื่อและชวนง่วงทีเดียว แต่สิ่งที่หนังต้องการสื่อคือดี บวกกับฝีมือการแสดงที่ต้องบอกว่าระดับขึ้นหิ้งของ Chadwick Boseman ผู้รับบทฝ่าบาททิชาล่าใน Black Panther และได้เสียชีวิตในปี 2020 เพราะโรคมะเร็ง ทำให้เรื่องนี้เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของเขา และเขาได้ทุ่มเทการแสดงกับเรื่องนี้มากๆ จนได้รางวัลลูกโลกทองคำสาขาแสดงนำชายเลยทีเดียว
แต่บทบาทสำคัญที่ทำให้มาได้รับการรำลึกถึงจนทุกวันนี้ ก็คือการสร้างวิวัฒนาการให้กับดนตรีบลูส์ เพราะนอกจากเป็นหนึ่งในศิลปินรุ่นแรก ๆ ที่ได้บันทึกเสียงงานของตัวเอง มายังสร้างเทคนิคการร้องเพลงที่มีลักษณะเฉพาะตัว ด้วยการร้องราวกับการคร่ำครวญ เต็มไปด้วยอารมณ์จากเบื้องลึก และจากที่ เดอ ลา ครัวซ์ ตั้งข้อสังเกต มาเป็นนักร้องหญิงรายแรกก็ว่าได้ ที่ ‘ขัดเกลา’ เสียงให้สวยน้อยมาก คล้าย ๆ กับนักร้องเพลงบลูส์ชาย ซึ่งเป็นสิ่งที่นักร้องเพลงบลูส์รุ่นหลัง ๆ ใช้เป็นต้นแบบ ทั้งเจนิส จอปลิน (Janis Joplin) และ บอนนี เรต (Bonnie Rait) ก็น่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากมา การแสดงบนเวทีที่ผสมผสานการแสดงหลากหลายรูปแบบ ที่เธอได้พบเห็นในตอนออกทัวร์ ก็สะกดผู้ชมได้อยู่หมัด ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้มาได้ฉายา ‘เจ้าแม่เพลงบลูส์’
โดยเนื้อร้องท่อนหนึ่งในเพลงที่ เมมฟิส มินนี (Memphis Minnie) นักร้องเพลงบลูส์ ร่ำร้องถึงการจากไปของมา สามารถให้นิยามความสำคัญของเธอเอาไว้ได้อย่างชัดเจน
มา เรนีย์ ตัวจริงก็เหมือนเดวิส เธอคือผู้สร้างความบันเทิง แต่ด้วยเสียงเพลงที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์อย่างไม่น่าเชื่อ ก่อนจะเป็นที่รู้จักอย่างที่รู้กัน เธอคือ เกอร์ทรูด เมลิสสา นิกซ์ พริดเก็ตต์ (Gertrude Malissa Nix Pridgett) ลูกสาวของแม่-เอลลา (Ella) และพ่อ-โธมัส (Thomas) ที่ลืมตาดูโลกในรัฐทางใต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกบันทึกว่าเป็นวันหนึ่งในเดือนกันยายน 1882 ที่อะลาบามา แต่เจ้าตัวแย้งว่า เป็นวันที่ 26 เมษายน 1886 ที่โคลัมบัส, จอร์เจีย ต่างหาก ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้ กฏหมายจิม โครว์ (Jim Crow Law – กฎหมายที่ใช้ในรัฐทางใต้ของสหรัฐฯ ช่วงปี 1877 – กลางยุค 1960 ซึ่งเป็นการเลือกปฏิบัติระหว่างคนผิวขาวและผิวดำ)