ช่วงหยุดยาวแบบนี้หากใครอยากจะหาอะไรทำที่ไม่เครียด ตัวเลือกที่น่าสนใจคือหาหนังสบาย ๆ ดู ดิฉันขอแนะนำเรื่องนึงค่ะ คือเรื่อง Leap Year ซึ่งเป็นภาพยนต์ที่ออกฉายเมื่อปี 2010 กันนะคะ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ทำออกมาในแนวโรแมนติกคอเมดี้มีนักแสดงนำที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ได้แก่ เอมี่ อาดัม รับบทนางเอก ส่วนพระเอกคือแมทธิว กู๊ด มีชื่อภาษาไทยว่ารักแท้แพ้ทางกิ๊ก
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังต่างประเทศที่หลายคนชอบเพราะว่าวิวสวย ฉากสวย ๆ ในเรื่องส่วนใหญ่ถ่ายทำในชนบทของไอร์แลนด์เป็นหลัก ในเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก หนังทำออกมาในรูปแบบเบาๆ สบายๆ ทำให้เวลาของหนังที่ 1ชั่วโมง 40 นาที ไม่ยาวมากแต่ทำให้คนดูรู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับหนังได้ง่าย ๆ ผู้เขียนเขียนเรื่องได้กระชับชัดเจนและครอบคลุมเนื้อหาซีนอารมณ์ที่ต้องการจะสื่อถึงคนดูได้ค่อนข้างดีทีเดียวค่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นหนังรักที่พล็อตซ้ำ ๆ น้ำเน่าแนวไม่ชอบหน้า แต่ตกหลุมรักกันได้ไม่ยากในตอนจบสมหวังมีความสุขกันไป ซึ่งสไตล์นี้ทำออกมาก็ยังคงมีกลุ่มผู้ชมที่ชอบหนังสบายไม่หนักดูแล้วรู้สึกประทับใจไม่คิดมากแล้วก็ยิ้มตามไปกับตัวละครตลอดเรื่องติดตามอยู่ดี ถึงแม้จะเดาทางหนังได้ง่ายว่าที่สุดแล้วพระเอกนางเอกก็ต้องลงเอยกันด้วยดีแต่ก็อดยิ้มตามกับความรักของทั้งคู่ไปในแบบเบาๆ
ต่อจากนี้มีสปอยเล็ก ๆ นะคะ เริ่มเรื่องมานางเอกในเรื่องเธอมีชื่อว่าแอนนา แอนนาคบหาดูใจกับแฟนหนุ่มที่ไฮโปรไฟล์ครบสูตรหล่อเก่งมีความสามารถแล้วสองคนนี้ก็คบหาดูใจเป็นแฟนกันมา 4 ปีแล้ว โดยที่แฟนหนุ่มก็ไม่เคยจะขอเธอแต่งงานสักที เธอก็ลุ้นจังเลยว่าเมื่อไหร่แฟนจะขอ นอกจากจะไม่ขอแล้วดันปรากฎว่าอีตาแฟนหนุ่มสุดหล่อก็ยังมีหน้ามาบอกอีกว่าพี่ต้องไปสัมมนาที่ดับบลิน ไอแลนด์ นะน้อง ทีนี้นางเอกก็เริ่มคิดแหละว่าทำไงจะหาวิธีให้แฟนขอเธอแต่งงานให้ได้ มองไปมองมาเอ๊ะปีนี้มันปี
อธิกสุรทินนี้นา เป็นปีที่ เดือนกุมภาพันธ์ มี 29 วัน ซึ่งตามความเชื่อของชาวตะวันตกผู้หญิงสามารถขอผู้ชายแต่งงานได้แถมผู้ชายก็ห้ามปฏิเสธด้วย งั้นรออะไรล่ะแฟนไม่ขอฉันขอเองก็ได้ นางเอกตัดสินใจเดินทางไปดับบลินเพื่อไปขอแฟนแต่งงาน ใครเลยจะรู้ว่าการเดินทางไม่ราบรื่นอย่างที่คิดเพราะสภาพอากาศแปรปรวนมากเหตุเพราะพายุเข้าระหว่างนี้พอดี แต่นางเอกเธอรอไม่ได้ค่ะเพราะกลัวว่าจะเลยวัน ทำให้แอนนาต้องหาวิธีสารพัดไม่ว่าจะต่อรถต่อเรือเพื่อไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้พระเอกนางเอกได้เจอกันและตามสูตรหนังรักสไตล์นี้คือแรกพบหน้าพระเอกนางเอกต้องไม่ถูกโฉลกกับพระเอกอย่างแรง
สองคนต้องมีความเป็นขั้วตรงข้ามกันอย่างชัดเจน ตาพระเอกก็จะมีบุคลิกเป็นหนุ่มเจ้าอารมณ์ขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญโดยเฉพาะกับผู้หญิงและต้องปากเสียประมาณน้องหมาเห่าอยู่ในปากยังไงยังงั้น ซึ่งตรงนี้มันมีปมในหนังอยู่ค่ะที่จะเฉลยบอกว่าทำไมพระเอกถึงไม่ค่อยชอบผู้หญิง ส่วนนางเอกแน่นอนเธอจะต้องเป็นสาวเก่ง มีความเป๊ะและเรื่องมากแถมจู้จี้ขี้บ่น แน่นอนรถที่จะจ้างเดินทางไปดับบลินสุดท้ายคือรถพระเอกนั้นเองค่ะ เพราะทั้งหมู่บ้านนี้ดันมีรถพระเอกคันเดียวที่ว่างอยู่ อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น
ระหว่างการเดินทางของคนสองคนที่บุคลิกต่างกันสุดขั้วแถมยังเหม็นหน้ากันสุดขีดจะเป็นยังไงไปไม่ได้ นอกจากบอกได้แค่การเดินทางครั้งนี้มันทุลักทุเลทัวร์จริง ๆ แต่ความทุลักทุเลนี้แหละค่ะกลับทำให้หนุ่มสาวคู่นี้เข้าใจกันและกันมากขึ้นเริ่มมีความประทับใจก่อตัวในใจของแต่ละคนโดยไม่รู้ตัว นั่นไงมันโรแมนติกตรงนี้แหละค่ะ
อีกทั้งในหนังยังมีวลีเด็ด ๆ แฝงแง่คิดที่พระเอกถามคำถามกับนางเอกตอนเดินทางด้วยกันว่า หากมีเวลาแค่ 60 วินาทีในการเก็บของออกจากบ้านที่กำลังไฟไหม้นางเอกจะเก็บสิ่งใด มันก็จริงล่ะนะคะ ในช่วงเวลาที่ฉุกเฉินต้องตัดสินใจโดยมีเวลาจำกัดคนเราจะเลือกหยิบสิ่งที่สำคัญที่สุดหรือไม่ก็ต้องพาตัวเองพาคนที่เรารักออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด และตอนท้ายของหนังจากคำพูดของพระเอกนี้เองค่ะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้นางเอกได้คำตอบว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตและตัวเองต้องการอะไรกันแน่
งแน่นอนหนังสไตล์นี้ไม่ต้องคิดเยอะรู้ว่ายังไงก็จบแฮปปี้ชัวร์ค่ะ เป็นการปิดจบของหนัง อย่าง Happy คนดูก็ฟินกันไปในวันที่ต้องอยู่บ้านกันยาว ๆ แบบนี้อย่าเพิ่งเครียดนะคะ หากใครอยากหาหนังสบาย ๆ แต่ลึกซึ้งแนะนำเรื่องนี้เลยค่ะ ทุกวันนี้หากใครถามหาหนังที่สบาย ๆ ดูแล้วไม่ต้องคิดมาก หนังเรื่องนี้ก็มักจะถูกหยิบยกมากล่าวถึงในแง่ของหนังรักอารมณ์ดี ที่คนหยิบมาดูซ้ำอยู่บ่อย ๆ อีกเรื่องหนึ่งทีเดียวค่ะ