แม้นยุทธหัตถีจะเป็นมหาศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ แต่ก็หาใช่ศึกสุดท้ายที่ทำให้อโยธยามีความสุขสงบมาอีกกว่า 200 ปีไม่ หากคือการเริ่มต้นแห่งการรวบรวมบ้านเมืองและสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับแผ่นดิน สู่บทสรุปของอภิมหากาพย์ภาพยนตร์แอ็คชั่นอิงประวัติศาสตร์ จากตํานานกษัตริย์นักรบไทยอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย กว่า 4 ศตวรรษ กับเรื่องราวในตํานานที่เกิดขึ้นหลังจากอภิมหาศึกคชยุทธ์ยุทธหัตถีจบลง บทสรุปของทุกตัวละครในตํานานที่เกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้นกับพระเจ้านันทบุเรง หลังจากพระมหาอุปราชาทรงสวรรคต ชีวิตทหารไพร่พลพม่ารามัญที่พ่ายแพ้จากศึกในประวัติศาสตร์เมื่อเดินทางกลับสู่กรุงหงสา วิบากกรรมที่พระสุพรรณกัลยาทรงรับไว้ ชีวิตที่ดําเนินต่อไปของมณีจันทร์ที่ทรงตั้งพระครรภ์ การเดินทางมุ่งหน้ากลับสู่หงสาในการรบครั้งสุดท้ายตามพระประสงค์ของสมเด็จพระนเรศวร
8 ปีเต็ม ของการเดินทางนับตั้งแต่ ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 1 องค์ประกันหงสา’ เข้าโรงฉายให้คนไทยไพร่ฟ้าได้ยลยินให้ประจักษ์แก่ความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ไทยซึ่งปลุกกระแสความรักชาติได้อย่างท่วมท้น ถามใครก็รู้จักและพูดถึงไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงอาม่าอากง และเห็นได้จากรายได้แต่ละภาคที่เฉลี่ยแล้วมากกว่า 200 ล้านบาท แต่เมื่อต้องแบ่งค่าตั๋วกับโรงหนังตามวิถีก็ทำให้พอหักลบกลบทุนแล้วรายได้แล้วก็ยังไม่คุ้มทุนสร้างที่ทุ่มเงินไปมากกว่างบบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานวัดวาอารามในแต่ละปีเสียอีก แต่ด้วยสปิริตอันแรงกล้าทำให้ ‘ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ ดั้นด้นมาถึงภาค 6 ซึ่งเป็นภาคปิดฉากสุดท้ายนี้ หลังจากที่ ภาค 5 เคยเป็นภาคสุดท้ายมาแล้วก่อนหน้านั้น
หนังเปิดฉากด้วยภาพย้อนอดีตเมื่อครั้งทำศึกยุทธหัตถีในภาคที่แล้ว ซึ่งพระมหาอุปราชา (นภัสกร มิตรเอม) พ่ายยุทธหัตถีต่อพระนเรศวร (พ.ท.วันชนะ สวัสดี) เป็นผลพวงให้พระเจ้านันทบุเรง (จักรกฤษณ์ อำมะรัตน์) โกรธกริ้วและพาลลั่นลงโทษประหารทัพทหารที่เหลือรอดกลับมาทั้งโคตรทำให้เสียกำลังทัพและไพร่พล รวมถึงได้ปลิดชีพพระสุพรรณกัลยา (เกรซ มหาดำรงค์กุล) ซึ่งเป็นองค์ประกัน ทำให้พระนเรศวรยืนกรานยกทัพไปกำราบพระเจ้านันทบุเรงถึงเมืองตองอู และแล้วก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ต่างฝ่ายต่างแพ้ภัยของกันและกันเอง
ถึงแม้โดยรวมแล้วหนังออกจะประดักประเดิดถึงขั้นล้มเหลวเมื่อเทียบกับงานกำกับในภาคอื่นๆ ก่อนหน้านี้ของท่านมุ้ย เมื่อมองความสมบูรณ์ด้านการเล่าเรื่องทั้งตัวบทและการกำกับมันเลวร้ายยิ่งกว่าตอน ‘ยุทธหัตถี’ ภาคก่อนหน้าที่ผู้ชมไม่น้อยบ่นกันว่าเป็นหนังที่ไม่สมศักดิ์ศรีกับการเป็นภาคปิดฉากบทสรุปมหากาพย์อันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผลพวงที่ทำให้ประกาศเกิดภาคนี้ต่อมา หนังเริ่มโอนเอนตั้งแต่คลอดไตเติ้ลต้นเรื่องที่เล่าย้อนถึงภาคก่อนหน้าที่ทั้งจังหวะการตัดต่อ สกอร์ดนตรีประกอบ และกราฟฟิกตัวหนังสือต่างขัดแข้งขัดขากันและกันให้ล้มครืนไปพร้อมกับร่างของพระมหาอุปราชาที่พ่ายยุทธหัตถี
ต่อด้วยการเล่าเรื่องอย่างรวดเร็วว่องไวแต่กลับไม่รู้สึกถึงความกระชับและไหลลื่น รายละเอียดหลายอย่างถูกทิ้งขว้างให้เหลือเพียงเส้นเรื่องที่ปล่อยให้ตัวละครพามุ่งตรงไปเผชิญ ตัวละครและสถานการณ์ที่ดูมีมิติชั้นเชิงก็กลายเป็นเรียบแบนไร้อารมณ์ การถ่ายภาพบางช็อตบางตอนที่ผิดเพี้ยนไป เทคนิคแต่งหน้าพระเจ้านันทบุเรงที่กำกึ่งว่าน้ำเหลืองไหลหรือสีไม่แห้ง และเทคนิคภาพพิเศษเช่นฉากธงทัพสะบัดไกวแต่ใบไม้ด้านหลังมิไหวติงที่ดูตัดแปะยิ่งกว่าภาคไหนๆ โดยเฉพาะฉากประดาบแรกพบระหว่างพระเอกาทศรส (พ.อ.วินธัย สุวารี) กับ เม้ยมะนิก (เต็มฟ้า กฤษณายุธ) ที่ฉากแอคชั่นเห่ยๆ เก้ๆ กังๆ ช่างเลวร้ายพอดิบพอดีกับฉากหลังพระพุทธรูปที่พิกเซลระเอียดยับเสียเหลือเกิน