Hold The Dark (2018) “หิมะ หมาป่า อาถรรพ์ และความตาย” หนังสุดโหดต้นฉบับจากเน็ตฟลิกซ์ (Netflix) หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังครอบครัวที่เด็กควรดู แม้ตัวอย่างหนังจะบอกผู้ชมว่า ผู้หญิงคนหนึ่งสูญเสียลูกเพราะหมาป่า เธอจึงเขียนจดหมายเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านมาจัดการ เธอต้องการคำตอบก่อนที่สามีของเธอจะกลับมา
ตอนแรกผมเข้าใจว่ากำลังดูหนังผจญภัยตามล่าหมาป่าทั่วไป เพราะตัวหนังมีพื้นหลังเป็นภูเขาหิมะ สุนัขป่า การสูญเสีย และการสืบหาความจริง
แต่ความจริงหลังจากดูไประยะหนึ่ง พบว่าตัวหนังถ่ายทอดความรุนแรงออกมามากกว่าที่ตัวอย่างเล่าให้เราฟังมาก ทั้งความรุนแรง บ้าคลั่ง และความเชื่อสุดโต่ง ล้วนมีอยู่ในหนังเรื่องนี้
ตัวละครหลักที่ขอพูดถึงมีอยู่ 3 คน คือ
คอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุนัขป่า มีประสบการณ์อยู่กับสุนัขป่า 1 ปีเต็ม เขาเขียนหนังสือชื่อ One Year with Them ซึ่งในหนังสือเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาสังหารสุนัขป่าเพศเมียด้วย
เมโดร่า หญิงสาวที่สูญเสียลูก มีความลับมากกว่าที่เราเห็น เธอบอกว่าลูกชายของเธอ และลูกของคนอื่นในหมู่บ้านถูกสุนัขป่าฆ่าตาย เธอโกหก
เวอร์นอน สามีของเธอ พ่อของลูกที่ตายไป เขาเป็นนาวิกโยธินที่กลับจากสงครามเพราะอาการบาดเจ็บ ตัวละครนี้แสดงความเย็นชา โหดร้าย และบ้าคลั่งออกมาจนถึงขีดสุด
พื้นเพของครอบครัวสโลนที่สูญเสียลูกชาย เป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนหุบเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี มีความเชื่อเกี่ยวกับปีศาจหมาป่า ที่มักจะมาเอาชีวิตชาวบ้านไป ชุมชนแห่งนี้ล้วนมีความเชื่อเรื่องนี้ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของทุกคน
เมโดร่าอยู่กับลูกชายบนหุบเขาเพียงลำพัง โดยที่เวอร์นอนผู้เป็นสามีต้องออกไปรบยังต่างแดน เป็นเหตให้เกิดโศกนาฏกรรมและเรื่องราวต่าง ๆ ตามมา “ลูกชายเธอตาย”
การกลับมาของเวอร์นอน เพื่อตามล้างแค้นให้กับลูกชาย รวมถึงคอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านหมาป่าที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จะจบลงอย่างไร โหดร้ายรุนแรงแค่ไหน ขอให้รับชมกันครับ
คอล์ ผู้เชี่ยวชาญด้านหมาป่าถูกว่าจ้างจากหญิงสาวคนหนึ่งให้ออกตามล่าฝูงหมาป่าที่พรากชีวิตลูกชายของเธอไป แต่กลายเป็นว่ายิ่งเขาข้องเกี่ยวกับการตามล่าหมาป่ามากเท่าไหร่ ดูเหมือนว่ามันจะมีเรื่องอันตรายอื่นๆที่มากกว่าแค่ฝูงหมาป่าแทน!
เดือดมาก, แม้จะรู้สึกว่านี่ยังเป็นผลงานที่ดรอปลงของ jeremy saulnier ซึ่งเราว่ามันไม่ใช่ความผิดแกเท่าไหร่ เพราะแกยัง directing ส่วนต่างๆของหนังได้อยู่เลยนะ คุมโทนบรรยากาศหิมะฟ้าอ่อนได้ดีตลอดทั้งเรื่อง
แต่ยอมรับว่าเราเซอร์ไพรส์กับหนังมากที่จู่ๆมันหักหน้าคนดู โดยการพลิก genre หนังจากแนวล่าหมาป่าแบบ the grey แต่แท้จริงแล้วดันมาได้ดูหนัง neo-noir thriller ไล่ฆ่าล้างแค้นแบบ blue ruin เวอร์ชั่นคนเก่งแทน !?
ซึ่งตลอดองก์สองของหนังมันเดือดดาลและสะใจมากๆ เหมือนเป็น no country for old men เจอ fargo เจอ wind river ที่เต็มไปด้วยการตามล่าหาฆาตกร, ฆาตกรออกไล่ฆ่าคนไปเรื่อยๆ และฉากยิงความยาว 8 นาทีสุดสะใจ
ในขณะเดียวกัน saulnier ยังคงเสิร์ฟออเดิร์ฟความโหดเลือดสาดสะใจแต่ดูสมจริงเหมือนหนังเก่าๆของเค้าเลย ทั้งแผลเหวอหวะที่ต้นคอ, ฉากยิงที่กระสุนโดนอวัยวะทีไรก็มีแต่รูพรุนจนน่าขนลุก และ หน้าเหวอแหวะแหกกระจายดี
แม้ความน่าเสียดายจริงๆอยู่ที่ช่วงหลังของหนังที่เหมือนมันหมดไฟ เราไม่มีปัญหากับการเล่าเรื่องแบบ slow burn เพราะเราไหว แต่เราไม่ค่อยเคลียร์กับประเด็นและ point ของหนังเท่าไหร่ กลายเป็นว่ามีแต่คำถามที่เพิ่มมาให้ปวดหัวแล้ว ยังไม่เก็ทกับสิ่งที่หนังจะนำเสนอมาอีก
น่าเสียดายแม้ตลอดต้นเรื่องหนังจะดีมากๆแค่ไหน แต่สุดท้ายเราก็ไม่เข้าใจกับประเด็นหลักของหนังในตอนท้าย แต่ยังไงซะ นี่ก็เป็นหนังไม่กี่เรื่องของ netflix ที่ดีมากๆ สนุก ตื่นเต้น และลุ้นระทึกตลอด มาดูฉากยิง 8 นาทีก็คุ้มค่าแล้ว.