เป็นการชมมิวสิคัลแบบเหมือนไปนั่งเกาะขอบเวทีดู งานกล้องแสงสีดีมาก ที่สำคัญที่สุดคือการถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ออกมาด้วยบทเพลงแนวฮิพฮอพที่ไพเราะแบบกระดิกนิ้วตามได้ตลอดทำให้เรื่องราวมันสดใหม่มีสีสันมากอย่างไม่น่าเชื่อ เป็นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่สนุกที่สุดครั้งหนึ่งเลยทีเดียว แล้วอะไรคือการนำการถกข้อรัฐธรรมนูญมาแต่งเป็นเพลงได้ น่าปรบมือให้กับ Lin-Manuel Miranda จริงๆ ทั้งเขียนเรื่อง แต่งเพลง และยังแสดงนำเองอีก
เรื่องราวเท่าที่เข้าใจ (เพราะเพลงรัวมาก) เล่าตั้งแต่ที่เด็กกำพร้า Alexander Hamilton เดินทางมายังนิวยอร์คในปี 1776 พบกลุ่มเพื่อนร่วมอุดมการณ์ จีบหญิงจนได้แต่งงานกับ Eliza ทั้งที่พี่สาวของเธอก็แอบชอบแฮมิลตันอยู่ จนเขาและพวกเพื่อนไปรบภายใต้การบังคับบัญชาของ George Washington เรื่อยไปจนถึงที่เขาถูกสั่งให้พักรบกลับบ้านไปหาภรรยาที่ตั้งท้องลูกชาย ต่อมาพอจอร์จ วอชิงตันได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของอเมริกา แฮมิลตันก็ได้รับตำแหน่งเลขากระทรวงการคลังด้วย
หลังจากพักครึ่ง เปิดมาแฮมิลตันก็ปะทะคารมกับ Thomas Jefferson ที่เพิ่งกลับจากการไปเป็นทูตอยู่ที่ฝรั่งเศส จนจอร์จ วอชิงตันสั่งให้ประนีประนอมให้ได้ เขามัวคร่ำเคร่งกับงานนี้จนเมื่อลูกเมียไปพักผ่อนนอกเมือง ก็เผลอไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แล้วพอ John Adams ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่สอง แฮมิลตันก็โดนเด้งจากตำแหน่ง และเพื่อนที่กลายมาเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก็มาพยายามหาเรื่องมาแบล็คเมล์อีก เขาจึงตัดสินใจเปิดเผยเรื่องการนอกใจต่อสาธารณชนไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเอามาเป็นเครื่องมือได้ จนต้องเลิกกับภรรยา แต่ต่อมาพอลูกชายตายไปก็กลับมาคืนดีกันได้
ในเวลาต่อมา เมื่อแฮมิลตันตัดสินใจเลือกข้างสนับสนุนจนโธมัส เจฟเฟอร์สันขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่สาม อดีตเพื่อนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามไปแล้วนั้นก็มาท้าดวล เขาตัดสินใจไม่โต้ตอบจนถูกยิงเสียชีวิต ทิ้งเรื่องราวไว้ให้เป็นตำนานของหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งชาติอเมริกาขึ้นมา
เรื่องราวลื่นไหล เดินเรื่องเร็ว ดูสนุกอัดแน่นมากกับการเรียงร้อยวินาทีสำคัญในชีวิตของบุคคลผู้เป็นตำนานออกมาได้ในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง ดูแล้วก็ให้สงสัยว่าแต่ละคนไปพักหายใจกันตอนไหน นี่คือเล่นสดเกือบสามชั่วโมงด้วยเพลงที่ใช้พลังเยอะมาก และถ้อยคำที่พรั่งพรูคล้องจองชวนลิ้นพันกันยิ่งกว่านั่งท่องดิกชันนารี ไหนจะสีหน้าท่าทางที่ต้องเต้นขยับเคลื่อนไหวให้ไปตามเพลงและนักแสดงรายรอบ จังหวะจะโคนต้องเป๊ะมาก ไม่อยากจะนึกเลยว่านี่ต้องซ้อมกันมาหนักขนาดไหน ยอดเยี่ยมจริงๆ
แถมแต่ละคนก็ได้มีโมเมนต์ปล่อยพลังเป็นของตัวเองกันทั้งนั้นเลย ดีมาก ชอบ Jonathan Groff ในบทพระเจ้าจอร์จที่สามที่สติสตังไม่ค่อยสู้ดีนักแบบที่เคยเห็นในเรื่อง The Madness of King George ด้วย เพลงของเขาเพราะติดหู เนื้อเพลงตลก และก็เล่นได้ตลกบ้าบอขโมยซีนมาก