จำต้องเอาชื่อ คริสโตเฟอร์ โนแลน ขึ้นมาก่อนสิ่งอื่นใดครับ เพราะเทียบหน้าหนังกันแล้วถ้าเอาเป็นหนังดราม่าสงครามที่มีฉากชายหาด เป็นโลเกชั่นยังไงก็ต้องให้ Saving Private Ryan (1998) ของสปีลเบิร์กมาเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าจะเอาว่าดาราใหญ่มาเล่นดังสุดก็มีแค่ ทอม ฮาร์ดี้ และ เคนเน็ธ บรานาจ์ กับเจ้าของรางวัลออสการ์สมทบชายอย่าง มาร์ก ไรแลนส์ เท่านั้นเอง แถมที่เหลือซึ่งกุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในหนังก็เป็นเพียงดาราวัยรุ่นหน้าใหม่เสียแทบทั้งนั้นด้วย อ่อ อาจขายได้ว่าเป็นการเล่นหนังใหญ่ครั้งแรกของนักร้องไอดอลระดับโลกจากวงวันไดเร็กชั่น อย่าง แฮร์รี่ สไตล์ส แต่เอาจริง ๆ ว่าคอหนังใครจะมาสนล่ะ? พูดกันตามตรงหนังเรื่องนี้ส่วนที่น่าสนใจมากที่สุดคือ เป็นหนังของโนแลน ผู้สร้างปรากฏการณ์ทางภาพยนตร์แบบสะเทือนไปทั้งโลกได้หลายต่อหลายครั้งนี่ล่ะ
หนังเรื่องนี้จับเหตุการณ์จริงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณเมืองดันเคิร์กชายฝั่งของประเทศฝรั่งเศส กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในขณะนั้นเสียทีให้ฝ่ายอักษะของนาซีจนล่าถอยมาติดค้างอยู่ที่เมืองนี้จำนวนมาก ในครั้งนั้นกองทัพอังกฤษของฝ่ายสัมพันธมิตรจนปัญญาในการอพยพเหล่าทหารของตนที่เมืองนี้ร่วมหลายแสนชีวิตให้ออกจากสมรภูมินรก ทั้งยังการถูกปิดล้อมก็ทำให้เหล่าทหารกลายเป็นเป้านิ่งให้เครื่องบินศัตรูยิงทิ้งเล่น เรียกว่ารอวันที่ฝ่ายอักษะไล่บี้มาถึงเพื่อสังหารทิ้งไม่เร็วก็ช้าเท่านั้นเอง และหากเป็นเช่นนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรก็จะสูญเสียกำลังพลครั้งใหญ่ ยังส่งผลให้ฝ่ายอักษะได้รุกคืบสู่เกาะอังกฤษซึ่งเป็นจุดยุทธการสำคัญในสงครามครั้งนี้ของฝ่ายสัมพันธมิตรด้วย เพราะหากเสียอังกฤษเป้าหมายต่อไปย่อมต้องเป็นอเมริกาและแน่นอนหน้าประวัติศาสตร์โลกคงไม่เหมือนอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้แน่ ๆ
ในตอนนั้นชาวบ้านและชาวประมงจากอังกฤษต่างถูกเกณฑ์ให้นำเรือบ้าน ๆ ของตน ที่ไม่ได้รับการติดอาวุธใด ๆ ออกสู่ทะเล เข้าสู่สมรภูมิเลือดที่ดุเดือดถึงขีดสุดทั้งบนฟ้าและผืนน้ำ เพื่อนำชีวิตของกำลังพลที่ดันเคิร์กกลับสู่บ้าน ซึ่งตรงนี้กลายเป็นอีกหนึ่งในจุดเปลี่ยนของสงครามที่เกิดขึ้นด้วยพลังของชาวบ้านธรรมดา ๆ ล้วน ๆ เลย
วีรกรรมของชาวบ้านตาดำ ๆ นี้ก็คงโดนใจโนแลนผู้กำกับที่เติบโตมาบนเกาะอังกฤษอย่างจัง เปรียบไปก็คงไม่ต่างจากคนไทยที่ภูมิใจในชาวบ้านบางระจันนั่นล่ะครับ แต่นี่คงแบบยิ่งใหญ่กว่าเยอะ เพราะเป็นสงครามระดับตัดสินหน้าตาของโลกได้เลย
หนังใช้วิธีเล่า 3 ส่วนไปพร้อมกันโดยการดีไซน์ที่ฉลาดมาก ๆ ตั้งแต่ชื่อหนัง ที่มีการใช้ 3 เฉดสีแทนท้องฟ้า ผืนน้ำ และแผ่นดิน ซึ่งแทนถึงสมรภูมิห้ำหั่นของสงครามโลกที่มีทั้งทางอากาศ ทางน้ำ และทางบก นอกจากนี้หนังยังใช้การเล่าไม่ลำดับเหตุการณ์ที่ทำให้เราคาดเดาและลุ้นไปกับทุกวินาทีของหนังอย่างชาญฉลาดมากจนบางคนน่าจะเอาไปเทียบกับงานเก่าอย่าง Memento และ Inception แต่ขอบอกเลยว่าเข้าใจง่ายกว่าและยังใช้ประโยชน์ของการเหลื่อมเวลาได้อย่างระทึกใจกว่าด้วย