‘Enough people say they know they can’t believe, Jamaica we have a bobsled team!’ เดี๋ยวนะ Jamica มีทีม bobsled นี่มันกีฬาอะไรกัน?, 1988 Calgary Winter Olympics, Canada ทีมชาติ Jamica ได้สร้างความประหลาดใจให้คนทั่วโลกด้วยการส่งทีม Bobsleigh เข้าร่วมแข่งขัน ทั้งๆที่ประเทศไม่มีหิมะตก ไม่เคยเข้าร่วมแข่งขันระดับนานาชาติใดๆ แต่กลับได้ใจคนผู้ชมจากทั่วโลก, ในแง่ศิลปะหนังเรื่องนี้อาจไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แต่ความบันเทิงจัดเต็ม ใครฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ได้ฮาท้องแข็งแน่
จากสตูดิโอ Walt Disney Picture โดยผู้กำกับ Jon Turteltaub (National Treasure-2004) นี่เป็นหนัง hollywood ที่สร้างเพื่อแรงบันดาลใจให้กับผู้คน ด้วยวิธีที่อาจดูเหมือนไม่ค่อยให้เกียรติทั้งทีมชาติ Jamica และกีฬา Bobsled สักเท่าไหร่ แต่หนังสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง มีสาระสำคัญคือ การไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค และความกล้าจะเริ่มต้นทำอะไรใหม่ที่แตกต่าง
บอบสเลด (Bobsleigh หรือ bobsled) เป็นกีฬาฤดูหนาว (Winter sport) ที่มีลักษณะคล้ายๆกับรถไฟราง ประกอบด้วยนักกีฬา 2 หรือ 4 คน มีหน้าที่เลี้ยงกระดานที่ไปตามรางที่เป็นอุโมงค์เปิดและมีพื้นเป็นน้ำแข็งให้เร็วที่สุดตามแรงโน้มถ่วงของโลก, นักกีฬาสามารถทำการไสกระดานได้ในช่วงก่อนเส้นเข้ารางเพื่อเร่งความเร็ว แต่หลังจากนั้นจะห้ามไม่ให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายถูกพื้นรางและห้ามให้ตัวหลุดจากกระดานโดยเด็ดขาด
นั่นแหละครับ Bobsleigh ผมเพิ่งเคยได้ยินชื่อ รู้จักก็ตอนดูหนังเรื่องนี้แหละ ประเทศไทยเราไม่เคยมีหิมะตก เลยจะไปรู้จักได้ยังไง, นี่ถือเป็นกีฬาที่อันตรายพอสมควร เคยมีนักกีฬา Bobsleigh เสียชีวิตอยู่จากการควบคุมผิดพลาด กระดานไถลออกนอกราง แม้จะมีชุดป้องกันและหมวกกันน็อค แต่ด้วยความเร็วของกระดานเลื่อนที่อาจสูงได้ถึง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เหมือนขับรถ มีโอกาสผิดพลาดได้เสมอ
สำหรับมหาอำนาจของกีฬาประเภทนี้คือ Germany ตามมาด้วย Switzerland, Italy, Canada และอเมริกา, สำหรับปี 1988 Calgary Winter Olympics, Canada การแข่งขัน Bobsleigh ประเภททีม 4 คน ประเทศที่สามารถคว้าเหรียญทองคือ Switzerland เหรียญเงินคือ East Germany และทองแดงคือ Soviet Union ส่วนทีมชาติ Jamaica ก็ตามคลิปด้านบน แข่งไม่จบวันที่ 3
ถ้าไม่เกิดความผิดพลาดในวันสุดท้าย ว่ากันว่า Jamaica Bobsleigh อาจได้เหรียญรางวัลกลับบ้านด้วย นี่ทำให้พวกเขาได้รับความนิยมอย่างสูง มีหรือที่ hollywood จะไม่สนใจ TriStar Pictures ได้รีบชิงซื้อลิขสิทธิ์การสร้างเป็นภาพยนตร์ วางตัวให้ Michael Ritchie ที่เคยมีผลงาน Downhill Racer (1969) เป็นโปรดิวเซอร์ และให้ Fran Rubel Kuzui เป็นผู้กำกับ แต่เมื่อลิขสิทธิ์เปลี่ยนมือไปเป็นของ Columbia Pictures และเปลี่ยนมืออีกทีไปเป็นของ Walt Disney Picture ทั้งสองเลยหมดโอกาสล
ก่อนที่ Disney จะมอบหมายงานกำกับให้ Jon Turteltaub เป็น Jeremiah S. Chechik ที่ตบปากรับคำเกือบได้เซ็นต์สัญญากำกับแล้ว แต่ถอนตัวออกไปกำกับเรื่องอื่นก่อน, Working Title ของหนังคือ Blue Maaga ว่ากันว่าบทหนังดั้งเดิม จะมีเรื่องราวที่ซีเรียสจริงจัง ไม่มีอารมณ์ขันเลย ซึ่งพอ Turteltaub เข้ามาดูแลงานสร้าง เขาไปจ้าง Michael Goldberg ให้เพิ่มเติม ใส่อารมณ์ขันเข้าไป
นำแสดงโดย Leon Robinson รับบทเป็น Derice Bannock, Robinson เป็นนักแสดงผิวสีที่มีผลงานอยู่เรื่อยๆ แต่อาจไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่ เพราะไม่เคยรับเล่นหนังใหญ่, สำหรับ Cool Runnings เดิมเขาเป็นนักกีฬาวิ่ง 100m มือวางไปแข่ง Summer Olympic แต่เพราะดันสะดุดล้มในรอบสุดท้าย จึงหมดสิทธิ์ไปแข่ง แต่เขายังไม่ยอมแพ้ กลายมาเป็นกัปตันทีม Bobsleigh ที่ก็ไม่ได้รู้จักมากก่อน แต่คิดว่าจะสามารถพาตนไปสู่โอลิมปิกได้, Derice เป็นคนมีความฝัน ความทะเยอทะยาน จนบางครั้งลืมไปว่าตนเองเป็นใคร แต่เมื่อได้รับการเตือนสติจากเพื่อนรัก ก็สามารถเข้าใจตนเองได้อย่างรวดเร็ว
Doug E. Doug รับบท Sanka Coffie เพื่อนสนิทของ Derice นี่ถือเป็นตัวขโมยซีนในแทบทุกฉาก นิสัยกวนๆ คำพูดติดตลก และทรงผมเดดล็อกที่เหมือน Bob Marley เขาเป็นคนที่ร้องเพลง ‘Enough people say they know they can’t believe, Jamaica we have a bobsled team!’
John Candy รับบทเป็นโค้ช Irving “Irv” Blitzer เดิมทีบทนี้ตั้งใจให้ Kurt Russell (Russell ได้เป็นโค้ชสมใจอยากในหนังเรื่อง Miracle-2004) Candy ยอมลดค่าตัวลงครึ่งหนึ่งเพื่อรับบทนี้โดยเฉพาะ, โค้ช Blitzer คือคนที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง เขาเคยได้ 2 เหรียญทองโอลิมปิก แต่เพราะเขาโกงทำให้ทีมถูกแบนพลาดเหรียญทองที่ 3 ไป, เขาหนีไปอยู่ Jamaica เพื่อสรรหานักกีฬาที่จะเป็นตัวตายตัวแทน มาร่วมกันสร้างทีม Bobsleigh ในฝันของตน แต่ผ่านไป 10-20 ปี บางทีมันอาจสายไปแล้ว (หรือเปล่า?)
ถ่ายภาพโดย Phedon Papamichael, หนังมีการใช้ฟุตเทจจากช่อง NBC sports ที่ถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ใส่เข้าไปด้วย
ตัดต่อโดย Bruce Green
เพลงประกอบโดย Hans Zimmer
ในด้านการเล่าเรื่อง นี้เป็นหนังที่เรียกว่าเป็น ‘สูตรสำเร็จ’ ของหนังประเภทกีฬา, ทีมรองบ่อน ไม่มีใครคาดหวังอะไรมาก่อน ได้ร่วมรอบลึกๆ การแข่งขันระดับใหญ่ แล้วชนะได้รางวัลหรืออาจแพ้แต่สร้างความประทับใจ ทำให้ผู้ชมและนักกีฬาทีมอื่นยอมรับความสามารถในตอนจบ, โครงสร้างลักษณะแบบนี้ใครดูหนังแนวกีฬาบ่อยๆคง ‘เบื่อ’ แบบเอือมละอา ผมก็คนหนึ่ง ไม่คิดว่าหนังจะสร้างเรื่องราวเป็นไปตามสูตรสำเร็จ ราวกับเปิดตำราอ่านได้เปะๆขนาดนี้
กระนั้นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุก คือ พื้นฐานเรื่องราว ซับพล็อต (sub-plot) และรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สอดไส้เข้ามาอย่างลงตัว เปรียบเหมือนอาหารจานเดียวกัน สูตรเดียวกัน แต่พ่อครัวต่างกัน รสชาติ สัมผัสเลยออกมาแตกต่าง แต่ก็พอกลมกลืนกลมกล่อมได้เหมือนกัน
เพลงประกอบถือว่าเป็นสิ่งที่เด่นที่สุดในหนัง โดย Hans Zimmer ตอนนั้นพี่แกเริ่มดังแล้วจาก Rain Man (1988), Driving Miss Daisy (1989) และ Thelma & Louise (1991), หนังมีทั้ง Orchestra และเลือกเพลงฮิตในอดีตใส่เข้าไปในหนัง อย่าง Wild Wild Life ของ Wailing Souls และ I Can See Clearly Now ของ Johnny Nash (cover ใหม่โดย Jimmy Cliff) ทำให้หนังมีกลิ่นอายของ Reggie ที่มีจังหวะคึกคักสนุกสนาน, สำหรับท่อนฮิตมหาชน ผมหาลิงค์ให้ฟังเพลงเต็มๆไม่ได้ ชื่อเพลง Jamaican Bobsledding Chant ร้องโดย Worl-A-Girl ใน Youtube มีแค่ท่อนฮุคตัดจากในหนังนะครับ อยากฟังเต็มๆ อยู่ใน End Credit ของหนังช่วงท้ายๆ หรือหา CD อัลบัมประกอบหนัง (ไม่รู้จะยังมีขายหรือเปล่านะ)