หนัง Captive State เรื่องราวเกิดขึ้นในเมือง Chicago เมื่อโลกมนุษย์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของเหล่าเอเลี่ยน ทำให้เหล่ามนุษย์ต้องร่วมมือกันปฏิวัติทวงคืนโลก เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างกลุ่มสวามิภักดิ์และต่อต้านเอเลี่ยนกำลังจะระอุขึ้น พวกเขาจะเข้าร่วมหรือสุดท้ายจะต้องยอมร่วมมือ
ต้องบอกก่อนว่า Captive State ไม่ใช่หนังเอเลี่ยนถล่มโลก ตู้มต้าม อย่าง ID4 หรือ War of the World ที่จะมีฉากหนีตายการไล่ล่าเอเลี่ยน หรือการถล่มอะไรต่างๆ แต่ในเรื่องนี้มันเกิดหลังจากเหตุการณ์ที่เอเลี่ยนบุกและยึดโลกไปแล้ว ครอบครองโลกมาเป็นเวลานานและไม่มีทีท่าว่าจะยอมลงจากอำนาจนี้แต่อย่างใด (คุ้นๆ ไหม?) จึงทำให้มีกลุ่มคณะปฏิวัติ Phoenix พยายามต่อต้าน และทำลายอำนาจทวงคืนเสรีภาพจากเหล่าเอเลี่ยนนั้นซะ
เรื่องของเอเลี่ยนบุกโลกอาจจะไม่แปลกใหม่ แต่มันแปลกใหม่ตรงที่เหตุการณ์หลังจากนั้นแหละ นี่คือหนังขายไอเดียล้วนๆ ถ้าใครคาดหวังจะมาเจอเอเลี่ยนยิงกันตู้มต้ามแบบหนังเอเลี่ยนอื่นๆ คงจะผิดหวังกันสักหน่อย เรื่องนี้เอเลี่ยนโผล่มาไม่กี่ฉากเท่านั้น (น้อยแบบนับฉากได้) และไม่มีฉากถล่มโลกแน่นอน เพราะหนังเรื่องนี้จะโฟกัสที่เหล่ากลุ่มปฏิวัติ ที่ฉาบไปด้วยการเมืองล้วนๆ
หนังดำเนินเรื่องแบบน้ำซะส่วนใหญ่ มีเนื้อนิดเดียว แถมยังปูประเด็นไว้มากมายที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ และคำถามเกือบตลอดทั้งเรื่อง เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์อดีตในหนังที่ถูกพูดถึง มันช่างดูยิ่งใหญ่แต่หนังกลับไม่ได้ให้ความสำคัญหรือเน้นให้คนดูเข้าใจในจุดนั้นเลย แถมตัวละครแต่ละตัวก็เป็นใครก็ไม่รู้ โผล่ๆ มาๆ ไปๆ เป็นใครมาจากไหนก็ไม่ได้ถูกพูดถึง โดยเฉพาะตัวเอกที่ปูมาแบบอ่อนๆ ทำให้คนดูผูกพันธ์ แตะต้องตัวละครไหนไม่ได้เลย มันจึงทำให้ทั้งเรื่องมันกลายเป็นน่าเบื่อและไม่น่าเอาใจช่วยตัวละครไหนเลย
แต่มีเพียงตัวละครเดียวเท่านั้นในเรื่องที่น่าสนใจคือตัวละครอย่าง William Mulligan สายสืบจอมโหดที่รับบทโดย John Goodman ที่พอช่วยพยุงให้หนังดูน่าสนใจได้บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ยังเป็นจุดบกพร่องถึงเจตนาและแรงจูงใจของตัวละครตัวนี้อยู่ดี
แต่อีกประเด็นนึงที่มันช่างเหมาะเจาะกับบ้านเมืองเราในช่วงนี้เสียเหลือเกิน และมันดั๊นบังเอิ๊ญบังเอิญ เหตุการณ์ในหนังมันการเมืองเต็มๆ แถมยังเข้าฉายก่อนการเลือกตั้งอีก มันเลยทำให้หนังเรื่องนี้ช่างเหมาะเจาะเสียยิ่งกระไร และน่าจะทำให้คนดูบางกลุ่มอินได้ไม่ยาก หนังสะท้อนการเมืองออกมาแบบไม่แอบแฝงใดๆ บอกให้เห็นถึงทั้งฝ่ายปกครองและประชาชนอย่างชัดเจน ทั้งฝ่ายที่ยอมรับ ฝ่ายที่ไม่ยอมรับแต่ก็ยังนิ่งเฉย และฝ่ายที่ไม่ยอมรับโดยเลือกจะปฏิวัติอะไรบางอย่าง แต่ถึงมันจะมีประเด็นการเมืองเข้ามาเยอะแยะมากมายเพียงไหน แต่มันก็ยังไม่เข้มข้นพอที่จะทำให้หนังเรื่องนี้สนุกได้อยู่ดี
สรุปแล้ว Captive State มีไอเดียที่ค่อนข้างดี กับหนังเอเลี่ยนการเมือง ที่พอให้สนุกได้บ้างในช่วงท้าย นอกเหนือจากนั้นก็ค่อนข้างน่าเบื่อ กับการดำเนินเรื่องและบทสนทนาที่เต็มไปด้วยคำถาม แน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังเอเลี่ยนทั่วๆ ไป มันไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน บางคนอาจจะชอบมากๆ ก็ได้ แต่สำหรับเราค่อนข้างผิดหวังนิดนึง