แม้ว่าใครๆ อาจจะบอกเล่าเข้าหูว่า หนังเรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ในอเมริกา หลายคนไปดูมาก่อนแล้วก็บอกเล่าความรู้สึกหลังดูว่าเป็นเช่นไร ก็ได้แต่รับฟังไว้ แต่ในใจก็ยังคิดอยู่ว่า อย่างไรก็ต้องเข้าโรงไปดูด้วยตาตัวเอง
Beautiful Creatures แม่มดแคสเตอร์ | อนิจจา..จันทราลิขิต
หนังเรื่องนี้สร้างจากหนังสือนิยายขายดี “Beautiful Creatures” ผู้สร้างก็หวังให้มันมาสืบทอดบัลลังก์หนังดังจากหนังสือดังต่อจาก The Twilight Saga ด้วยวิธีการที่แทบจะถอดแบบกันมา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกนักแสดงหน้าใหม่ๆ ที่ยังไม่มีชื่อเสียงหรือผลงานมากนัก เริ่มต้นปฐมบทจากหนังสือเล่มแรกและคาดหวังจะสร้างไปจนถึงเล่มสุดท้าย
หากเมื่อดูจากรายรับของภาคแรกที่ไม่แรงเท่าที่หวัง จนแทบคาดหวังภาคต่อได้ยากเย็น
ผมเองก็ไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อน แต่คิดเสียว่า ถ้าหนังมีภาคต่อขึ้นมาจริงๆ เราก็ต้องไปดูแล้วจะพลาดภาคปฐมบทไปได้อย่างไร เริ่มเรื่องราวของ ลีน่า (Alice Englert) แม่มดแคสเตอร์สาวน้อยที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ได้พบรักกับมนุษย์หนุ่มนาม อีธาน เวท (Alden Ehrenreich) แต่ด้วยความที่มันมีกฎของแม่มดว่า เมื่อถึงวัย 16 ปีบริบูรณ์ เธอจะกลายเป็นแม่มดเต็มตัว ซึ่งมีสองทางที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นทางใด จะเป็นดาร์กแคสเตอร์ หรือไลท์แคสเตอร์
ขนาดในหมู่มนุษย์ยังมีคนดีและคนชั่วเลย ในหมู่แคสเตอร์ก็เช่นกัน เหล่าดาร์กแคสเตอร์ก็อยากได้พวก ขณะที่เหล่าไลท์แคสเตอร์ก็ต้องให้เธอเป็นพวกเช่นกัน แล้วมนุษย์ที่อยู่ตรงกลางผู้ไม่มีอิทธิฤทธิ์ ไร้พลังพิเศษอย่างอีธานจะทำอะไรได้
‘แม่มดแคสเตอร์’ หรือชื่อไทยในภาคหนังสือ “จันทราลิขิต” เป็นเพียงเล่มแรกจากนิยายแฟนซีจำนวน 5 เล่ม ซึ่งถัดจากเล่มแรกก็เป็น “นิมิตจันทรา” (Beautiful Creatures เล่มที่สอง), Beautiful Darkness, Beautiful Chaos และ Beautiful Redemption
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับฯ โดย Richard LaGravenese ผู้กำกับฯ ที่เราไม่เคยได้ยินชื่อ เขาคือเจ้าของผลงาน P.S. I Love You และเรื่องย่อยเรื่องหนึ่งในหนัง Paris, je t’aime ขณะที่ตัวนักแสดงนำนี่ไม่รู้จักเลย นอกจากนักแสดงสมทบอย่าง Viola Davis (จาก The Help), Emmy Rossum (The Phantom of the Opera และ The Day After Tomorrow) และ Emma Thompson สิ่งที่ผมพบได้อย่างหนึ่งก็คือ ตัวลีน่านางเอกนั้นดูน่ารักดี ไม่ว่าเธอจะแต่งหน้าน้อยๆ หรือแต่งมากๆ ก็ตาม ขณะที่ตัวอีธาน เวท กลับดูไม่หล่อและไม่ค่อยดึงดูดความสนใจเท่าที่ควร
‘แม่มดแคสเตอร์’ ไม่ได้ดำเนินเรื่องอย่างหวานเลี่ยนอย่างแวมไพร์หลายภาคเรื่องนั้น หากแต่การเล่าเรื่องกลับชวนสนใจได้เพียงครึ่งแรกของมันเท่านั้น โดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้จักแคสเตอร์มาก่อนเลยอย่างผม ช่วงแรกของหนังค่อยๆ พาเราไปรู้จักกับตัวละครแต่ละตัว และรูปแบบการเป็นแม่มดเต็มตัวของลีน่า แต่ครึ่งหลังเรื่องราวกลับกลายเป็นแฟนตาซีแบบเลี่ยนๆ และไม่เร้าใจเท่าที่ควร เหมือนบิลต์กันอย่างดีแล้ว แต่สุดท้ายกลับแผ่วปลายเสียอย่างนั้น
อย่างไรก็นับว่าสมหวังแล้วที่ได้มาชม ‘แม่มดแคสเตอร์’ หนังที่สร้างจากนิยายชื่อดังในโรงหนังด้วยตาตัวเอง ไม่ว่าจะมีการนำมาสร้างภาคต่อหรือไม่ก็ตามที